ทำไม ? เมณฑกเศรษฐี จึงมีแพะทองคำ ผุดขึ้นมาจากแผ่นดินที่บริเวณหลังบ้าน ตัวเท่าช้าง เท่าม้า

เมณฑกเศรษฐี ผู้มีแพะทองคำ: เป็นเพราะเมณฑกเศรษฐีได้พบรูปปั้นแพะทองคำ ประมาณเท่าช้าง เท่าม้า และเท่าโคถึก โผล่ขึ้นมาจากแผ่นดินที่บริเวณหลังบ้าน ซึ่งกินบริเวณกว้างถึง 8 กรีส เพราะเหตุนี้เศรษฐีจึงมีชื่อว่า เมณฑกเศรษฐี แปลว่า เศรษฐีแพะ http://winne.ws/n7766

5.8 พัน ผู้เข้าชม
ทำไม ? เมณฑกเศรษฐี จึงมีแพะทองคำ ผุดขึ้นมาจากแผ่นดินที่บริเวณหลังบ้าน ตัวเท่าช้าง เท่าม้าขอบคุณภาพจาก store.dmc.tv

ทำไม ? เมณฑกเศรษฐี จึงมีแพะทองคำ โผล่ขึ้นมาจากแผ่นดินที่บริเวณหลังบ้าน ตัวเท่าช้าง เท่าม้า

เรื่องเมณฑกเศรษฐี ผู้มีแพะทองคำผุดขึ้นจากดินหลังบ้าน 

        ในอดีตชาติเคยบริจาคทรัพย์สร้างศาสนวัตถุไว้ในพระศาสนากฎแห่งกรรม ถูกนำมากล่าวถึงเมื่อคราวที่พระศาสดา ทรงอาศัยภัททิยนคร ประทับอยู่ในชาติยาวัน ทรงปรารภเมณฑกเศรษฐี ตรัสพระธรรมเทศนาที่ขึ้นต้นด้วยบาทพระคาถานี้ว่า สุทสฺสํ วชฺชมญฺเญสํ เป็นต้นในกาลครั้งหนึ่ง ในระหว่างเสด็จจาริกสู่แคว้นอังคะและแคว้นอุตตระ 

       พระศาสดาทรงเห็นอุปนิสัยที่จะบรรลุโสดาปัติผลของบุคคล ๖ คนเหล่านี้ คือ ๑. เมณฑกเศรษฐี ๒.ภรรยาของเศรษฐี ชื่อนางจันทปทุมา ๓. บุตรชื่อธนัญชัยเศรษฐี ๔. หญิงสะใภ้ชื่อนางสุมนเทวี ๕. หลานสาวชื่อวิสาขา ๖.ทาสชื่อปุณณะ จึงเสด็จไปสู่ภัททิยนคร ประทับอยู่ในชาติยาวัน 

        ในอรรถกถาพระธรรมบทเล่าว่า เมณฑกเศรษฐีผู้นี้ มีฐานะร่ำรวยมาก ที่เป็นเช่นนี้ ในพระคัมภีร์กล่าวว่า

         เหตุที่มหาเศรษฐีได้นามว่า เมณฑกะ เนื่องจากว่าเมื่อท่านแต่งงานมีครอบครัว และย้ายไปปลูกบ้านหลังใหม่ แพะทองคำประมาณเท่าช้าง ม้า และโคอุสภะได้ชำแรกแผ่นดิน เอาหลังดุนหลังกันผุดขึ้นมาในพื้นที่ประมาณ ๘ กรีส อยู่ด้านหลังบ้านของท่านเศรษฐีเอง แพะเหล่านี้เกิดขึ้นมาด้วยกำลังบุญของท่านเศรษฐี เป็นแพะกายสิทธิ์ที่สามารถนำความสมปรารถนามาให้กับเจ้าของ และผู้ที่มาขอสมบัติต่าง ๆ ได้    เมณฑกเศรษฐี แปลว่า เศรษฐีแพะ)

มีอะไรในปากแพะ

        ในปากแพะจะมีกลุ่มด้ายอยู่ 5 สีด้วยกัน คือ สีเขียว สีทอง สีแดง สีขาวเงินและสีส้ม เมื่อใตรต้องการสิ่งของชนิดใด ก็ดึงด้ายสีนั้น สิ่งที่ต้องการก็จะออกมาด้วย เช่น ต้องการอาหารของกินก็ตั้งจิตอธิษฐานดึงด้ายสีเขียว อยากได้ทองก็ดึงสีทอง สีแดงก็เป็นพวกเสื้อผ้า เครื่องประดับ ถ้าอยากได้เงินกหาปณะ ก็ดึงสีขาวเงิน ถ้าอยากได้ยาก็ดึงสีส้ม เป็นต้น แต่ต้องตั้งจิตอธิษฐานและมีบุญเก่าด้วยจึงจะได้

บุพกรรมที่ทำให้มีแพะทองคำผุดหลังบ้านในพระคัมภีร์บรรยายว่า

         ย้อนหลังจากนี้ไปหนึ่งแสนกัป พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า วิปัสสี เสด็จอุบัติขึ้น ในภพชาตินั้นเศรษฐีเป็นหลานของกุฎุมพีชื่อ อวโรชะ  ส่วนตัวเองก็มีชื่อว่า อวโรชะ ซึ่งมาพ้องกับชื่อของลุง ในสมัยนั้น ตัวของลุงปรารภจะสร้างพระคันธกุฎีถวายแด่พระบรมศาสดา หลานชายได้ยินข่าวนั้น เกิดมีจิตเลื่อมใส อยากขอบริจาคเงินร่วมบุญกับลุงของตนด้วย แต่เศรษฐีผู้เป็นลุงอยากได้บุญคนเดียว เพราะเห็นว่าตัวเองมีเงินทองมากมาย ไม่จำเป็นต้องอาศัยเงินของหลาน และอยากให้การถวายกุฏิครั้งนี้เป็นชื่อของตัวเองเท่านั้น จึงปฏิเสธความปรารถนาดีจากหลานชาย

       ฝ่ายหลานชายเป็นผู้มีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยไม่แพ้ผู้เป็นลุง จึงคิดว่า “เมื่อลุงสร้างคันธกุฎีในที่ตรงนี้แล้ว เราควรสร้างศาลาราย ล้อมรอบพระคันธกุฏีอีกทีหนึ่ง” จึงไปเข้าเฝ้าเพื่อทูลขอพระบรมพุทธานุญาตด้วยตัวเอง เมื่อได้รับพุทธานุญาตแล้ว ก็เกิดความปีติดีใจที่จะได้รับบุญพิเศษในครั้งนี้ รีบกลับไปบ้าน ให้คนใช้ข้าทาสบริวารนำเครื่องไม้มาจากป่า ให้ทำเสาพิเศษกว่าเสาไม้ธรรมดา คือ เสาต้นหนึ่งบุด้วยทองคำ ต้นหนึ่งบุด้วยเงิน ต้นหนึ่งบุด้วยแก้วมณี  ให้ทำขื่อ บานประตู บานหน้าต่าง กลอน เครื่องมุง และอิฐทั้งหมด บุด้วยรัตนชาติชนิดต่าง ๆ ให้ทำศาลารายสำเร็จด้วยรัตนะ ๗ ประการ

       บริเวณตรงเบื้องบนของศาลารายได้ให้สร้างจอมยอด ๓ ยอด ที่สำเร็จด้วยทองคำสีสุก เป็นแท่งแก้วผลึก และแก้วประพาฬ จากนั้นหลานชายให้สร้างมณฑปประดับด้วยแก้ว ตรงกลางศาลารายให้ตั้งธรรมาสน์ไว้ เพื่อเป็นที่แสดงธรรมของพระธรรมกถึก เท้าธรรมาสน์นั้นสำเร็จด้วยทองคำสีสุก เป็นทองแท่งสุกปลั่ง สว่างไสวกว่าทุกที่ในบริเวณศาลารายแห่งนั้น แม้แคร่ ๔ อันก็เป็นพื้นทองคำทั้งหมด จากนั้นให้แกะสลักแพะทองคำ ๔ ตัว ตั้งไว้ใต้เท้าทั้ง ๔ ของอาสนะ

        นอกจากนี้ยังให้แกะสลักแพะทองคำอีก ๒ ตัว ตั้งไว้ใต้ตั่งสำหรับรองเท้า แกะสลักแพะทองคำ ๖ ตัว ตั้งแวดล้อมมณฑป ให้ถักธรรมาสน์ด้วยเชือกเส้นเล็กสำเร็จด้วยด้ายก่อน แล้วจึงให้เอาทองคำถักทอเป็นเชือกเส้นเล็กๆ แทนเส้นด้าย ด้านบนให้เอามุกดามาร้อยเป็นเชือก ตรงพนักพิงของธรรมาสน์ให้ทำด้วยไม้จันทน์หอม ครั้นสร้างศาลารายสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ได้ถวายสังฆทานแด่พระบรมศาสดาพร้อมด้วยภิกษุหกล้านแปดแสนรูป ได้กล่าวถวายศาลารายด้วยจิตที่เลื่อมใสในมหาทาน 

        ด้วยบุญนั้น ทำให้ท่านได้สวรรค์สมบัติ และมนุษย์สมบัติเรื่อยมา ในภัทรกัปนี้ ก่อนที่จะได้เกิดมาเป็นเมณฑกเศรษฐี ท่านได้สั่งสมบุญพิเศษอะไรไว้อีกมากมาย

        ต่อมาในอีกอดีตชาติหนึ่ง เขาเกิดเป็นเศรษฐีในเมืองพาราณสี ในกาลครั้งหนึ่ง ได้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ผู้คนอดอยากข้าวปลาอาหาร ทั่วทุกหนทุกแห่ง วันหนึ่งเศรษฐีได้ให้คนรับใช้ทำอาหารไว้พอดีสำหรับตนเองและบริวารรับประทานเป็นมื้อสุดท้ายของชีวิต

        ขณะจำรับประทานนั้นเอง ได้มีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ซึ่งเพิ่งออกจากสมาบัติ มายืนบิณฑบาตอยู่ที่หน้าประตูบ้าน เขาได้บริจาคอาหารทั้งหมดทั้งในส่วนของตนเองและส่วนของบริวารแด่พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นจนหมด เพราะคิดว่าเราจะตาย ก็ไม่เป็นไร แต่พระผู้เป็นเจ้าผู้บริสุทธิ์ นั้นควรจะอยู่เพื่อโปรดสัตว์ต่อไป แต่เพราะผลแห่งการถวายทานมื้อสุดท้ายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าที่เพิ่งออกจากสมาบัตินั้นเอง ทำให้หม้อข้าวของเศรษฐี กลับมีข้าวอยู่เต็ม และยุ้งยางต่าง ๆ ที่ว่างเปล่าก็กลับเต็มไปด้วยข้าวเปลือก 

ดังคำพรรณนา อานิสงส์ของการถวายทาน  มื้อสุดท้าย                            

        ก็เมื่อเวลาเที่ยงล่วงไปแล้วภรรยาเศรษฐีล้างหม้อข้าวแล้วปิดตั้งไว้. 

          ฝ่ายเศรษฐีถูกความหิวบีบคั้นนอนแล้วหลับไป. เศรษฐีนั้นตื่นขึ้นในเวลาเย็น กล่าวกะภรรยาว่า "นางผู้เจริญฉันหิวเหลือเกิน ข้าวตัง๑- ก้นหม้อมีอยู่บ้างไหมหนอ?" 

         ภรรยานั้นแม้ทราบความที่ตนล้างหม้อตั้งไว้แล้ว ก็ไม่กล่าวว่า "ไม่มี" คิดว่า"เราเปิดหม้อข้าวแล้วจึงจะบอก" ดังนี้แล้วจึงลุกขึ้นไปสู่ที่ใกล้หม้อข้าว แล้วเปิดหม้อข้าว. 

เมล็ดข้าวอันไฟไหม้ทั้งหลาย. 

        ในขณะนั้นเอง หม้อข้าวเต็มด้วยภัต (อาหาร) มีสีเช่นกับดอกมะลิตูม ได้ดุนฝาละมีตั้งอยู่แล้ว. ภรรยานั้นเห็นภัตนั้นแล้วเป็นผู้มีสรีระอันปิติถูกต้องแล้ว 

         ภรรยากล่าวกะเศรษฐีว่า "จงลุกขึ้นเถิดนาย ดิฉันล้างหม้อข้าวปิดไว้ แต่หม้อข้าวนั้นนั่นเต็มด้วยภัตมีสีเช่นกับด้วยดอกมะลิตูม ชื่อว่าบุญทั้งหลายควรที่จะกระทำ ชื่อว่าทานควรจะให้ขอท่านจงลุกขึ้นเถิด นาย บริโภคเสียเถิด." 

           ภรรยานั้นได้ให้ภัตแก่บิดาและบุตรทั้งสองแล้ว.เมื่อบิดาและบุตรนั้นบริโภคเสร็จแล้ว นางนั่งบริโภคกับด้วยลูกสะใภ้แล้วได้ให้ภัตแก่นายปุณณะ. ที่แห่งภัตอันชนเหล่านั้นตักแล้วๆ ย่อมไม่สิ้นไป.ปรากฏเฉพาะตรงที่ตักด้วยทัพพีคราวเดียวเท่านั้น. 

           ในวันนั้นนั่นแลฉางเป็นต้นก็กลับเต็มแล้วโดยทำนองที่เต็มในก่อนนั่นแล. 

ทำไม ? เมณฑกเศรษฐี จึงมีแพะทองคำ ผุดขึ้นมาจากแผ่นดินที่บริเวณหลังบ้าน ตัวเท่าช้าง เท่าม้าขอบคุณภาพจาก www.youtube.com

 นางให้กระทำการโฆษณาในเมืองว่า "ภัตเกิดขึ้นแล้วในเรือนของเศรษฐี ผู้มีความต้องการด้วยภัตอันเป็นพืชจงมารับเอา." 

             มนุษย์ทั้งหลายถือเอาภัตอันเป็นพืชจากเรือนของเศรษฐีนั้นแล้ว. 

             แม้ชาวชมพูวีปทั้งสิ้นก็อาศัยเศรษฐีนั้นได้ชีวิตแล้วนั่นแล.

 เศรษฐีและคณะไปเกิดที่ภัททิยนคร                              

         เศรษฐีนั้นเคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้วบังเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลกและมนุษยโลก.          

        ในพุทธุปบาทกาลนี้บังเกิดในสกุลเศรษฐีในภัททิยนคร. แม้ภรรยาของเขาบังเกิดในสกุลมีโภคะมากเจริญวัยแล้ว ก็ได้ไปสู่เรือนของท่านเศรษฐีนั้นนั่นเอง.แพะทั้งหลายมีประการดังกล่าวแล้วอาศัยกรรมในกาลก่อนของเศรษฐีนั้นผุดขึ้นแล้วที่ภายหลังเรือน, แม้บุตรก็ได้เป็นบุตรของท่านเหล่านั้นแหละ, หญิงสะใภ้ก็ได้เป็นหญิงสะใภ้เหมือนกัน, ทาสก็ได้เป็นทาสเทียว. จบคำพรรณาอานิสงส์แห่งทาน

        เมื่อเมณฑกเศรษฐี ได้ทราบข่าวว่า พระศาสดาเสด็จที่เมืองภัททิยะมาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ก็ได้เข้าไปถวายบังคม หลังจากที่ได้ฟังธรรมจากพระศาสดาแล้ว ท่านพร้อมด้วยบุคคลอื่นรวม 6 คน(ตามที่มีชื่อระบุข้างต้น) ก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล และท่านได้กราบทูลพระศาสดาว่า ในระหว่างทางที่ท่านเดินทางมาเฝ้าพระศาสดานั้น 

        ท่านได้พบกับพวกเดียรถีย์ และพวกเดียรถีย์เหล่านี้ได้ห้ามปรามมิให้ท่านมา 

        พระศาสดาจึงตรัสกับท่านเศรษฐีว่า “คฤหบดี ขึ้นชื่อว่าสัตว์เหล่าใดย่อมไม่เห็นโทษของตนแม้มาก ย่อมโปรยโทษของชนเหล่าอื่นแม้ไม่มีอยู่กระทำให้มี ราวะบุคคลโปรยแกลบลงในที่นั้น ๆ ฉะนั้น”

จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า 

สุทสฺสํ วชฺชมญเญสํอตฺตโน ปน ทุสฺทสํปเรสํ หิ โส วชฺชานิโอปุนาติ ยถา ภุสํอตฺตโน ปน ฉาเทติกลึว กิตวา สโฐ ฯ(อ่านว่า)สุทัดสัง วัดชะมันเยสังอัดตะโน ปะนะ สุดทะสังปเรสัง หิ โส วัดชานิโอปุนาติ ยะถา ภุสังอัดตะโน ปะนะ ฉาเทติกลิงวะ กิตะวา สะโถ.

(แปลว่า)โทษของบุคคลเหล่าอื่นเห็นง่าย ฝ่ายโทษของตนเห็นได้ยาก เพราะว่า บุคคลนั้น ย่อมโปรยโทษของบุคคลเหล่าอื่น เหมือนบุคคลโปรยแกลบ แต่ว่าย่อมปกปิด(โทษ)ของตน เหมือนพรานปกปิดร่างกายด้วยเครื่องปกปิดฉะนั้น.เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.

 อ้างอิง : https://sites.google.com/site/dhammatharn/km-mu-na-wt-ti-lo-ko/khtc

อ้างอิง : http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=28&p=10

แชร์