เส้นทางสู่..การบรรลุมรรคผล ?
เส้นทางแห่งการบรรลุธรรมนั้นผู้บรรลุต้องมีบุญเก่าที่บำเพ็ญบารมีมายิ่งยวดในกาลก่อรนหรือชาตินี้ถ้าบารมีไม่มากพอก็ต้องทุ่มแบบเอาชีวิตเป็นเดืมพัน http://winne.ws/n24736
บทความดี มีประโยชน์ที่ให้สาระน่ารู้สำหรับชาวพุทธเราจะได้เป็นเครื่องประดับสติปัญญา ให้รู้ว่าใครที่สามารถบรรลุธรรมได้ เพื่อใช้ประกอบสติปัญญาพิจารณาคนในสังคมปัจจุบัน ไม่ใช่จับผิดใครแต่ถ้าเรามีความรู้ดูไม่นานก็พอจะมองออก ว่าใครจริงใครเท็จขอบคุณNaga King เจ้าของบทความนี้ค่ะ
เส้นทางสู่..การบรรลุมรรคผล ?
@ ในมุมนักวิปัสสนา ผมว่าหลายคนคงเบือนหน้าหนีเมื่อเวลาที่ผมหันมาคุยเรื่องของมรรคผล และคุยแบบลุกลามไปถึงเรื่องของ "นิพพาน"ไปด้วย หลายท่านที่ไม่ค่อยปลื้มอาจจะมีความคิดว่า "เอาอีกล่ะ ท่านมหาเปรียญลาพรตพวกนี้ ตอนบวชไม่ทำอะไร พอลาสึกขามาเป็นฆราวาสหรือคฤหัสถ์ละความเพียรเวียนมาเป็นคนเลวแล้วนี่ทำเป็นรู้ดีกันนัก แน่จริงทำไมไม่อยู่ในวัดแล้วบวชจนบรรลุนิพพานไปเลยเล่า ?"
อืม ก็ว่ากันไปครับ แต่สำหรับผม ผมกลับคิดว่าเป็นเปรียญลาพรตมานี่แหละดีพูดได้คล่องกว่า เพราะเวลาพูดตอนเป็นพระบางคราว โอกาสไม่เหมาะ หรือไม่มีโอกาสที่จะได้พูดเลย เพราะช่วงสมัยที่ผมบวชอยู่ เป็นยุครุ่งเรืองพระเณรเยอะแทบจะไม่ได้มีโอกาสขึ้นธรรมมาสน์กันเลย
เพราะไม่ใช่พระนักเทศน์ ผมเป็นพระนักคิด เพราะครูบาอาจารย์สอนวิธีคิดและหลักทฤษฎีในการคิดมาให้ เมื่อเวลาที่เรียนมาอย่างไรก็เชี่ยวชาญแบบนั้น จะให้ไปเล่นเทศน์เล่นลูกคอสิบแปดชั้นเหมือนพระนักเทศน์นั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก ดังนั้น จึงไม่ได้เป็นพระฮอตฮิตเหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขา แต่ในเรื่องวิชาการพระนักเทศน์ก็ตามผมไม่ทันเหมือนกัน เพราะเราโตมาคนละแบบนั่นเอง
@ อะไร คือ มรรคผล ?
เรื่องนี้ตอบไม่ยากมรรคผลก็คือ มรรค ๔ ผล ๔ และถ้ารวมเป้าหมายของพระพุทธศาสนาเข้าไปอีกก็คือ ๑ ได้แก่ พระนิพพาน มรรค ๔ ได้แก่ โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิกมรรค อนาคามิมรรค อรหันตมรรค ผล ๔ ก็ได้แก่ โสดาปัตติผล สกิทาคามีผล อนาคามิผล และอรหันตผล
@ ใครที่จะบรรลุมรรคผลได้ ?
สำหรับคนที่จะบรรลุมรรคผลได้นั้น คำตอบของคำถามนี้จะต้องพิจารณากันให้ชัดอีกที (๑) ถ้าตอบว่าเราทุกคนสามารถที่จะบรรลุมรรคผลได้ อันนี้ก็ถูก
(๒) เราทุกคนไม่อาจจะบรรลุมรรคผลในชาตินี้ได้เท่ากันหรือเหมือนกันหมด อันนี้ก็ถูก แต่ทุกคำตอบก็ใช่ว่าจะเป็นคำตอบของคำถามที่ได้ถามไปนั้นเพราะมันไม่ได้ถูกทั้งหมดทุกข้อ แล้วถ้าถามว่าแล้วใครล่ะจะเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติที่จะบรรลุมรรคผลได้ คำตอบก็คือ
(๑) คนที่จะบรรลุมรรคผลได้ต้องเป็นคนที่เคยบำเพ็ญเพียรในอดีตชาติมาก่อน ข้อนี้เป็นเรื่องจริงเพราะในพระไตรปิฎกนี้ชัดเจนว่าคนที่บรรลุมรรคผลได้ทั้งที่เป็นเสขบุคคล คือผู้ที่ยังต้องศึกษาและอเสขบุคคล
คือคนที่ไม่ต้องศึกษาเพราะบรรลุอรหันต์แล้ว เมื่อสืบประวัติแล้วจะพบว่าท่านเหล่านี้บำเพ็ญบารมีสั่งสมบุญและทำกรรมดีมาก่อน รวมทั้งได้ "อธิษฐาน" หรือตั้งความปรารถนาเอาไว้ก่อนว่าขอให้ได้มรรคผลในชาติต่อๆไป อันนี้เป็นเหตุให้ท่านเหล่านั้นได้บรรลุมรรคผลนิพพานได้ในชาตินี้
(๒) คนที่จะบรรลุมรรคผลได้อีกประเภทหนึ่งคือ "คนที่เกิดมาหักดิบเอาเฉพาะในชาตินี้" คำว่าหักดิบก็คือ การปฏิบัติธรรมอย่างอุกกฤตในชาตินี้ เช่น พระจักขุปาลเถระที่ปฏฺบัติธรรมเอาเป็นเอาตายสามเดือนไม่นอนนั่งตลอดทำให้ตาบอดและบรรลุธรรมพร้อมๆกัน เราเรียกคนประเภทนี้ว่าเป็น สุกกวิปัสสโก (ขุ.ธ.อ.(ไทย)๑/๒/๑/๓๒-๓๔)
โดยท่านได้ปฏิบัติธรรมตามหลักมหาสติปัฏฐาน ๔ ที่พระพุทธองค์ทรงยืนยันหรือรับรองว่า ถ้าเอาจริงเอาจังกับหลักมหาสติปัฏฐาน ๔ ในพระไตรปิฎกนี้ "บรรลุธรรมได้อย่างแน่นอน" อย่างน้อย ๗ วัน อย่างมากสุด ๗ ปี สุดแท้ว่าแต่ใครจะทำบุญกรรมมาอย่างไร (ที.ม. (ไทย) ๑๐/๔๐๔/๓๓๘.)
พระจักขุปาลเถระที่ปฏฺบัติธรรมเอาเป็นเอาตายสามเดือนไม่นอนนั่งตลอดทำให้ตาบอดและบรรลุธรรมพร้อมๆกัน เราเรียกคนประเภทนี้ว่าเป็น สุกกวิปัสสโก
@ใครที่ไม่สามารถที่จะบรรลุมรรคผลได้ ?
สำหรับผู้ที่ไม่สามารถที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานได้นี้มีอยู่หลายประเภท ดังนี้ คือ
(๑) คนที่ทำอนันตริยกรรม ๕ ที่ห้ามสวรรค์ห้ามนิพพาน
(๒) คนที่ไม่เคยบำเพ็ญบารมีมาก่อนและไม่เคยปรารถนามรรคผลมาก่อน คนกลุ่มนี้โดยมากในอดีตชาติเป็นมิจฉาทิฏฐิบุคคล
(๓) คนที่ปรารถนาพุทธภูมิ คนกลุ่มนี้จะไม่มีความปรารถนาผลที่น้อย คือมรรคผลเบื้องต้น แต่มุ่งหวังผลที่ยิ่งใหญ่กว่าก็คือพระสัมมาสัมโพธิญาณคนกลุ่มนี้จะไม่อาจบรรลุธรรมได้เลย
(๔) นอกจากนั้นก็คือคนที่ประมาทไม่สนใจในหลักศีล สมาธิ ปัญญา มีทรัพย์พอทำบุญได้ก็ไม่ทำไปทำแต่บาปที่สุดผลการทำบาปก็จะทำให้เขาพ้นจากเขตแห่งมรรคผลได้
(๕) คนที่ไม่เอาจริงเอาจังกับการปฏิบัติธรรมแบบอุกกฤต เช่นเดียวกับพระจักขุบาลเถระ ที่ท่านทำตามที่พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์เอาไว้ว่าไม่เกินเจ็ดปี ไม่น้อยกว่า ๗ วันหากทำกันจริงๆจังๆแบบเอาชีวิตเข้าแลกมาแบบท่านจักขุบาลที่ได้ทำมาแล้ว
การบรรลุในชาติหน้า สำหรับผู้ที่ไม่หวังการบรรลุในชาตินี้เพราะเห็นว่ายังไม่เด็ดพอก็ต้องปูทางไว้เพื่อการบรรลุในชาติหน้า ก่อนการตั้งความปรารถนาเพื่อขอการบรรลุธรรมท่านจะทำบุญใหญ่ก่อนด้วยการถวายทานแด่พระภิกษุในพระพุทธศาสนาตลอด ๗ วันต่อกันไม่ขาด
@ ผู้ปฏิบัติธรรม ทำอย่างไรจะได้มรรคผล ?
ผมว่าหลายคนคงจะถามผมอยู่นัยๆว่าสรุปแล้ว การปฏิบัติธรรมที่เราทำๆกันอยู่นี้เราจะมีสิทธิ์ในการบรรลุมรรคผลใหม ?และทำอย่างไรถึงจะเข้าถึงการบรรลุมรรคผลได้ ? คำตอบที่ผมจะมีให้ตอนนี้ก็มีอยู่ ๒ ประการ คือ
(๑) การปฏิบัติธรรมที่ทำๆกันอยู่นี้มีผลอย่างแน่นอน
แต่อาจจะยังไม่ถึงการบรรลุธรรม แต่เป็นอุปการะต่อการบรรลุธรรมได้ หากว่ายังไม่ทำถึงขั้นสละชีวิตทำกันจริงๆตลอด ๗ ปีตามที่ทรงระบุไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตร แต่ถ้าทำได้ก็เอาไปเลย อย่างเร็ว ๗ วัน อย่างช้า ๗ ปี
(๒) แนวทางที่จะเข้าถึงมรรคผลในชาตินี้และชาติหน้า
ก. การบรรลุในชาตินี้ สำหรับแนวทางที่จะเข้าสู่การบรรลุมรรคผลในชาตินี้นั้นจะต้องปฏิบัติธรรมตาม (๑) แนวทางวิปัสสนาตามสูตรที่ปรากฏในมหาสติปัฏฐาน ๔
(๒) แนวทางสมถะและยกจิตไปสู่วิปัสสนา ตามที่ปรากฏในอุทุมพริกสูตรที่ทรงยืนยันไว้ตามแนวทางเดียวกันกับมหาสติปัฏฐานสูตร แต่เงื่อนไขของการบรรลุแบบนี้จะต้อง "หักดิบเอาโดยอธิษฐานต่อบุญบารมีที่ท่านได้ทำมาตลอดหลายภพหลายชาติเพื่อขอให้การปฏิบัติธรรมครั้งนี้บรรลุผลให้ได้" ถ้าหักดิบบแบบนี้รับรองผลได้เลย
ข. การบรรลุในชาติหน้า สำหรับผู้ที่ไม่หวังการบรรลุในชาตินี้เพราะเห็นว่ายังไม่เด็ดพอก็ต้องปูทางไว้เพื่อการบรรลุในชาติหน้า ซึ่งการเตรียมการเพื่อการบรรลุในชาติหน้ากรณีชาวบ้านนะครับ คือ การมีศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาอย่างยิ่งยวดก่อนจากนั้น
(๑) ทำบุญใหญ่ จากตัวอย่างในพระไตรปิฎกจะพบว่าบุพกรรมของพระเสขะและพระอเสขะในพระพุทธศาสนานั้นก่อนการตั้งความปรารถนาเพื่อขอการบรรลุธรรมท่านจะทำบุญใหญ่ก่อนด้วยการถวายทานแด่พระภิกษุในพระพุทธศาสนาตลอด ๗ วันต่อกันไม่ขาด
(๒) ตั้งความปรารถนาไว้ ในวันสุดท้ายของการทำบุญใหญ่นั้นท่านจะต้องตั้งความปรารถนาหรือการอธิษฐานเอาไว้ว่า ด้วยผลบุญนี้ข้าพเจ้าขอเป็นผู้มีส่วนแห่งมรรคผลในพระศาสนาของพระศาสดาองค์ต่อไปด้วยเทอญ การตั้งความปรารถนานี้ถือว่าสำคัญเพราะเป็นการกำหนดจุดหมายที่ท่านต้องการจะไดรับผลจากการทำบุญใหญ่นี้ เพราะในอนาคตมรรคผลจะเกิดตามความปรารถนาที่ได้ตั้งไว้นี้อย่างแน่นอน
(๓) หมั่นรักษาศีล ให้ทานและปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอไว้โดยไม่ประมาท
ในเวลาที่ได้ทำบุญใหญ่นี้แล้ว ต้องดำรงตนอยู่ในศีล ทาน และภาวนาตลอดจนกว่าจะละสังขารเมื่อละสังขารไปแล้วก็จะไปเกิดในพรหมโลกหรือภพภูมิอื่นๆตามเศษกรรมที่เหลือ แต่ที่สุดแล้วเมื่อพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่ทรงอุบัติขึ้นมาแล้วท่านผู้มีความปรารถนาจะได้รับผลของการตั้งความปรารถนาเอาไว้อย่างแน่นอนก็คือการบรรลุธรรม
เอาล่ะนี่คือ ทางที่จะพาท่านทั้งหลายไปสู่มรรคผล ต่อจากนี้ไปก็ขึ้นอยู่กับพวกเราท่านทั้งหลายว่าจะเลื่อกอย่างไร ว่าจะเอาแบบไหนจะไปสู่การบรรลุธรรมอย่างไร ก็ในเมื่อรู้หลักแล้วก็ลองทำดูในช่วงที่พระพุทธศาสนายังมั่นคงในดินแดนสุวรรณภูมินี้อยู่ ผมว่าท่านทั้งหลายคงจะพอได้คำตอบในเรื่องนี้บ้างแล้วนะครับ
Cr.Naga King
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก
เฟซบุ๊ก Naga King