รู้จัก! 5 ศาสนา ที่พระมหากษัตริย์ไทยได้ทรงอุปถัมภ์ ในประเทศไทย
ประเทศไทยมีพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติมาโดยตลอด นับตั้งแต่ได้ตั้งเป็นแว่นแคว้น และเป็นราชอาณาจักรแต่ได้เอื้อเฟื้อต่อผู้นับถือศาสนาอื่น และให้ความอุปถัมภ์ตามแบบอย่างโบราณราชประเพณีที่พระมหากษัตริย์ไทยได้ทรงอุปถัมภ์ http://winne.ws/n12566
ศาสนาต่าง ๆ ในประเทศไทย
ประเทศไทยมีพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติมาโดยตลอด นับตั้งแต่ได้ตั้งเป็นแว่นแคว้น และเป็นราชอาณาจักรแต่ก็ได้เอื้อเฟื้อต่อคนไทยผู้นับถือศาสนาอื่น และให้ความอุปถัมภ์ศาสนาอื่นตามแบบอย่างโบราณราชประเพณีที่พระมหากษัตริย์ไทยได้ทรงอุปถัมภ์ไว้แล้ว และมีนโยบายที่จะป้องกันมิให้คนไทยที่นับถือศาสนาแตกต่างกันเบียดเบียนกัน มีความสมานฉันท์ สามารถอยู่ร่วมกันด้วยความสุขสงบร่มเย็น โดยทุกคนมีเสรีภาพในการประกอบพิธีกรรมตามศาสนาของตน โดยได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ และประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๐๖,๒๐๗ และ ๒๐๘
ในการดำเนินการด้านศาสนาต่าง ๆ ทางหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง บริหารงานโดยยึดหลักกฎหมาย ด้วยการหารือองค์การหลักของแต่ละศาสนาที่ทางราชการให้ความอุปถัมภ์ไว้แล้วเป็นสำคัญ เพื่อให้องค์การหลักของแต่ละศาสนาช่วยควบคุมดูแล และร่วมรับผิดชอบในแต่ละศาสนา เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยเป็นผลดีต่อประเทศชาติเป็นส่วนรวม
ทางด้านพระพุทธศาสนา มีพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ เป็นหลักในการบริหารงาน หน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง สนองงานของคณะสงฆ์ และรัฐบาลตามตัวบทกฎหมายที่กำหนดไว้ ทั้งด้านบริหาร และด้านศาสนูปถัมภ์
การบริหารศาสนาอื่น อยู่ภายใต้การดูแลบริหารของกระทรวงมหาดไทย ส่วนกรมการศาสนาได้ให้ความอนุเคราะห์ด้านศาสนูปถัมภ์ดังนี้
ศาสนาอิสลาม มีพระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยการศาสนูปถัมภ์ฝ่ายอิสลาม พ.ศ.๒๔๘๘ และแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ ๒ พ.ศ.๒๔๙๑ และมัสยิดอิสลาม พ.ศ.๒๔๙๐ โดยจะหารือจุฬาราชมนตรี และกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย เกี่ยวกับการศาสนูปถัมภ์ศาสนาอิสลาม
ศาสนาคริสต์ พระมหากษัตริย์ ทรงให้ความอุปถัมภ์ นิกายคาทอลิก และนิกายโปรเตสแต้นท์มาช้านาน ต่อมาได้มีระเบียบของกรมการศาสนา ว่าด้วยการรับรองฐานะองค์การทางศาสนา และระเบียบอื่น ๆ กรมการศาสนาจะหารือด้านศาสนูปถัมภ์กับองค์การ คาทอลิก และโปรเตสแต้นท์ ที่ได้รับรองฐานะขึ้นเป็นองค์การทางศาสนาไว้แล้วคือ
๑. สภาประมุข แห่งบาทหลวงโรมันคาทอลิก
๒. สภาคริสจักรในประเทศไทย
๓. สหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย
๔. มูลนิธิคริสจักรคณะแบ๊บติสท์
๕. มูลนิธิเซเวนเดย์ แอ๊ดเวนตีสแห่งประเทศไทย
ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู กรมการศาสนา จะหารือด้านศาสนูปถัมภ์กับสามองค์การที่ได้รับรองฐานะเป็นองค์การศาสนาไว้แล้วคือ
๑. สำนักพราหมณ์พระราชครู ในสำนักพระราชวัง
๒. สมาคมฮินดู สมาช
๓. สมาคมฮินดู ธรรมสภา
ศาสนาซิกข์ กรมการศาสนาจะหารือด้านศาสนูปถัมภ์กับสมาคมศรีคุรุสิงห์สภา
ศาสนาพุทธ
ศาสนาพุทธถือกำเนิดในประเทศอินเดียก่อนพุทธศักราช 45 ปี (พุทธศักราชเริ่มตั้งแต่ปีพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน) ซึ่งนับว่าเป็นศาสนาที่สำคัญที่สุดในโลกศาสนาหนึ่ง มีผู้นับถือหลายร้อยล้านคนโดยเฉพาะในแถบประเทศเอเชียใต้ เอเชียตะวันออก และเอเชียอาคเนย์ โดยเฉพาะในประเทศไทย พระพุทธศาสนาได้แผ่ขยายเข้ามาสู่ ดินแดนสุวรรณภูมิ ได้แก่ ในเขตประเทศพม่า และประเทศไทย ในสมัย พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ซึ่งมีกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี
พระศาสดาผู้ให้กำเนิดพระพุทธศาสนา คือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้า ซึ่งเป็นโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ และพระนางสิริมหามายาแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ปัจจุบันอยู่ในประเทศเนปาล พระพุทธเจ้าทรงมีพระนามเดิมว่า เจ้าชายสิทธัตถะ ในขณะที่ทรงพระเยาว์ก็ได้ศึกษาศิลปวิทยาในสำนักต่าง ๆ หลายสำนัก จนกระทั่งมีความรู้ ความสามารถ และความชำนาญในวิชาการต่าง ๆ หลายสาขา
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะมีพระชนมายุได้ 16 พรรษาทรงอภิเษกสมรสกับเจ้า หญิงยโสธรา มีพระโอรสหนึ่งพระองค์ คือ เจ้าชายราหุล ในชีวิตฆราวาสของพระองค์มีแต่ความสุขสมหวัง ต่อมาเมื่อพระชนมายุได้ 29 พรรษา ก็ทรงเบื่อหน่ายโลก เพราะทรงเห็นความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของสังขาร และทรงหวังจะช่วยชาวโลกให้พ้นทุกข์ จึงได้ทรงสละความสุขทั้งมวลไม่ว่าจะเป็นพระราชทรัพย์ พระโอรส พระมเหสี พระบิดาพระมารดา ญาติพี่น้องและมิตรสหายออกบวช เพื่อหาทางที่จะนำไปสู่ความพ้นทุกข์ ทรงผนวชอยู่จนกระทั่งมีพระชนมายุได้ 35 พรรษา จึงได้ตรัสรู้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ คือ รู้แจ้งสัจธรรมแห่งโลก เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยคำว่า " พุทธ " หมายถึง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้ว ได้เสด็จไปโปรดสัตว์ สั่งสอนประชาชนตามแคว้น ต่าง ๆ ในประเทศอินเดีย เป็นเวลา 45 ปี ปรากฎว่าชาวอินเดียในสมัยนั้นได้หันกลับมานับถือพระพุทธศาสนา และเข้ามาบรรพชาอุปสมบทเป็นจำนวนมาก พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอยู่จนกระทั่งมีพระชนมายุได้ 80 พรรษา จึงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ณ เมืองกุสินารา ประเทศอินเดีย
คำสอนของพระพุทธเจ้าได้รับการบันทึกไว้เป็นพระคัมภีร์ เรียกว่า พระไตรปิฎก มีความยาว 84,000 พระธรรมขันธ์ แบ่งออกเป็น 3 คัมภีร์ คือ คัมภีร์พระวินัยปิฎก ว่าด้วยเรื่อง วินัย ศีล สำหรับให้พระภิกษุ สามเณร ปฏิบัติ นอกจากนี้คัมภีร์พระไตรปิฏกยังกล่าวถึงศีลเบื้องต้น และการกำหนดกฏเกณฑ์ ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เช่นเรื่อง การอุปสมบท การผูกพัทธสีมา เป็นต้น คัมภีร์พระสุตตันตปิฎก เป็นคัมภีร์พระสูตร กล่าวถึงหลักธรรมต่าง ๆ ของพระพุทธเจ้า คัมภีร์พระอภิธรรมปิฎก กล่าวถึงธรรมชั้นสูง หรือปรมัตตสัจจะที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้
หัวใจพระพุทธศาสนา 3 ประการ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ แก่พระอรหันต์ 1,250 รูป ณ พระเวฬุวัน หลังจากตรัสรู้เพียง 9 เดือน และทรงแสดงปฐมเทศนาเพียง 7 เดือน ก็ทรงสรุปรวมคำสอนทางพระพุทธศาสนา ฝ่ายของมรรคกับนิโรธ ซึ่งถ้าใครปฏิบัติตามที่แสดงไว้ ทุกข์กับสมุทัย ก็หมดไป กล่าวโดยสรุปรวมเป็นไตรสิกขาตรงตัว คือ
1. การไม่ทำบาปทั้งปวง
2. การทำกุศลให้สมบูรณ์
3. การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว
ศาสนาคริสต์
ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประเภทเทวนิยม (Monotheism) นับถือพระเจ้าองค์เดียว คือ ยะโฮวา (Jehovah) เป็นผู้ทรงสร้างโลก สร้างมนุษย์และสรรพสิ่งในสากลจักรวาล เป็นผู้ประทานข้อบัญญัติแก่มนุษย์ โดยผ่านทางศาสดาพยากรณ์ (Prophets) และศาสนาฑูตตาง ๆ ในแต่ละยุค แต่ละสมัย เรื่อยมาตั้งแต่โมเสสถึงพระเยซู
พระเยซูประสูติเมื่อปีพ.ศ.543 (เริ่มคริสต์ศักราชที่ 1) เป็นช่วงที่อาณา จักรโรมันเจริญถึงขีดสุดภายใต้การนำของพระเจ้าซีซาร์ ตามหลักฐานกล่าวว่า พระเยซู ประสูติที่เมืองเบธเลเฮม แคว้นยูดาย มารดาชื่อ มาเรีย บิดาชื่อ โจเซฟ เป็นคนเชื้อสายยิว อาศัยอยู่ที่เมืองนาซาเรธ ในสมัยนั้นมีคำทำนายว่า "กษัตริย์แห่งชนชาติยิวได้บังเกิดขึ้นแล้ว" กษัตริย์เฮร็อค ผู้ครองแคว้นยูดายทรงทราบจึงรับสั่งให้ประหารชีวิตเด็กชายที่เกิดในเมืองเบธเลเฮม ในเวลาใกล้เคียงกันนั้น โจเซฟได้พาภรรยาและบุตรหลบหนี จนกระทั่งกษัตริย์เฮร็อคเสียชีวิตลง พระเยซูก็ เติบโตขึ้นและด้วยความสนใจใฝ่หาความรู้ทางศาสนา เมื่ออายุ 30 ปี ได้พบกับนักบุญจอห์น ผู้เผยแพร่ศาสนายิวและได้รับศีลจุ่ม (แบบติส) จากจอห์นที่แม่น้ำจอร์แดน นับแต่นั้นมาพระเยซูก็ได้ชื่อว่า พระเยซูคริสต์ (Jesus Christ)
พระเยซูคริสต์ เริ่มประกาศคำสอนโดยรับเอาความเชื่อศาสนายิวเป็น หลักปฏิบัติและเป็นคำสอนที่สำคัญอันหนึ่งเรียกว่า "เทศนาบนภูเขา" (Sermon on Mount) พระเยซูส่งสาวกออกไปเผยแพร่คำสอนอันถือเป็นพระวจนะของพระเจ้าจนได้รับความนิยมจากชาวยิว และเชื่อว่าพระเยซูเป็นเมสสิอาห์ ของยิว ต่อมานักบวชชาวยิวกลุ่มหนึ่งไม่ยอมรับพระเยซูถือว่ามาปฏิวัติศาสนาและเป็นผู้สร้างคำสอนใหม่ให้ศาสนา จึงพยายามหาทางกำจัดโดยกล่าวหาพระเยซูว่าพยายามซ่องสุมผู้คน เพื่อ กบฎชาวโรมันอันเป็นที่มาของการถูกทหารโรมันจับตรึงไม้กางเขนจนถึงแก่ชีวิต เมื่ออายุ 33 ปี โดยประกาศคำสอนได้เพียง 3 ปี เท่านั้น พวกสาวกที่เลื่อมใสพระเยซูก็ตั้งเป็นศาสนาใหม่ขึ้น เรียกว่า " ศาสนาคริสต์ "
คัมภีร์สำคัญของศาสนาคริสต์ เรียกว่า " คัมภีร์ใบเบิล " (The Holy Bible) ได้แก่ 1)คัมภีร์ใบเบิลเก่า (The Old Testament) กล่าวถึงประวัติศาสตร์ชนชาติยิวตั้งแต่สมัยอับราฮัมจนถึงสมัยก่อนพระเยซูคริสต์ 2) คัมภีร์ใบเบิลใหม่ (New Testament) กล่าวถึงเรื่องราวตั้งแต่พระเยซูประสูติ จนถึง ค.ศ.100 เป็นเรื่องราวชีวิตของพระเยซูคริสต์ และคำสั่งสอนเรื่องความเชื่อของชาวคริสต์
ศาสนาคริสต์แบ่งออกเป็น 3 นิกาย ได้แก่ 1)นิกายโรมันคาธอลิก (Catholic) 2)นิกายโปรเตสแตนท์(Protestant) 3) นิกายออร์โธด็อก (Orthodox) โดยมีหลักความเชื่อของศาสนาคริสต์ คือ 1) เชื่อว่าพระเยซูแห่งเมืองนาซาเรธเป็นศาสดาผู้ก่อตั้งศาสนาคริสต์ 2) เชื่อว่าพระเยซูแห่งเมืองนาซาเรธเป็นผู้สละชีวิตเพื่อไถ่บาปให้มนุษยชาติ 3) เชื่อว่าพระเยซูฟื้นคืนชีพจริง 4)เชื่อในพิธีล้างบาป หรือศีลจุ่ม (Baptism) และพิธีศีลมหาสนิท (Communion) โดยถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด 5)เชื่อในวันพิพากษาว่า เมื่อตายจากชีวิตนี้แล้ว จะต้องไปรอรับคำพิพากษาเพื่อการลงโทษและการตอบแทนรางวัล
คริสต์ศาสนานิกายโรมันคาธอลิกเข้ามาประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จนถึงปัจจุบันมีชาวไทยนับถือศาสนาคริสต์ ทั้งนิกายโรมันคาธอลิกและโปรเตสแตนท์ เป็นจำนวนมาก ทางราชการให้การรับรองเป็นองค์การศาสนาที่อยู่ในความอุปถัมภ์ ดังนี้
1) นิกายโรมันคาธอลิก มีศูนย์กลางอยู่ที่ นครวาติกัน กรุงโรม ประเทศอิตาลี มีสันตะปาปา เป็นประมุขสูงสุด ในประเทศไทยมีฐานะองค์การทางศาสนาที่ทางราชการให้การรับรองชื่อว่า สภาประมุขแห่งบาทหลวงโรมันคาธอลิก (Catholic Church Thailand) แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 10 เขต มิซซัง ได้แก่ มิซซังกรุงเทพ มิซซังราชบุรี มิซซังจันทบุรี มิซซังสุราษฎร์ธานี มิซซังเชียงใหม่ มิซซังนครสวรรค์ มิซซังท่าแร่-หนองแสง มิซซังอุบลราชธานี มิซซังอุดรธานี และมิซซังนครราชสีมา
2) นิกายโปรเตสแตนท์ เข้ามาประเทศไทยตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ปัจจุบันมีองค์การทางศาสนาที่ทางราชการรับรองดังนี้ 1) สภาคริสตจักรแห่งประเทศไทย (The Church of Christ in Thailand) 2) สหกิจคริสต์เตียนแห่งประเทศไทย(The Evangelical Fellowship of Thailand) 3) มูลนิธิคริสตจักรคณะแบ๊บติสท์ (Foreign Mission Boars) 4) มูลนิธิคริสตจักรวันเสาร์แห่งประเทศไทย (Seventh-day Adventist Church of Thailand)
ส่วนนิกายออร์โธด็อก ยังไม่มีการเผยแผ่มาสู่ประเทศไทย
ศาสนาอิสลาม
อิสลาม หมายถึง การยอมมอบตนตามประสงค์ของพระผู้เป็น เจ้าโดยสิ้นเชิง ผู้นับถือศาสนาอิสลามเรียกว่า "มุสลิม" แปลว่า ผู้ยอมมอบตนต่อพระเจ้า พระศาสดาของศาสนาอิสลาม คือ นบีมูฮำมัด (นบี หมายถึงผู้แทนพระอัลลอฮ์ หรือพระเจ้าของศาสนาอิสลาม) มูฮำมัด เป็นชาวอาหรับเผ่ากุรอยฮ์ในเมืองเมกกะ (ปัจจุบัน คือ ประเทศซาอุดิอาระเบีย)
ศาสนาอิสลามเกิดขึ้นในดินแดนทะเลทรายอาหรับ เมืองเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ในยุคนั้นชาวอาหรับแตกแยกเป็นหลายกลุ่มขาดความสามัคคียากแก่การปกครอง มีการรบพุ่งฆ่าฟันกันตลอดเวลา ไม่มีศาสนาเป็นแก่นสาร คนส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าและรูปเคารพต่าง ๆ ประชาชนไม่มีศีลธรรม สตรีจะถูกข่มเหงรังแกมากที่สุด ภายใต้สภาพสังคมที่เสื่อมทรามเช่นนี้ นบีมูฮำมัด จึงคิดหาวิธีที่จะช่วยปรับปรุงแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้น
นบีมูฮำมัด เป็นผู้ฝักใฝ่ในทางศาสนา หาความสงบและบำเพ็ญสมาธิ ที่ถ้ำฮิรอบนภูเขานูร์ ในคืนหนึ่งของเดือนรอมฎอน ในคัมภีร์ทางศาสนาอิสลามกล่าวว่า กาเบรียลฑูตของพระเจ้า ได้นำโองการของอัลลอฮ์มาประทาน นบีมูฮำมัด ได้นำคำสอนเหล่านี้มาเผยแพร่จนเกิดเป็นศาสนาอิสลามขึ้น
ในระยะแรกของการเผยแผ่ศาสนา ได้ถูกต่อต้านเป็นอย่างมาก จนถึงกับถูกทำร้าย และได้หลบหนีไปอยู่เมืองมะดีนะฮ์ แต่ก็ยังเผยแผ่จนเป็นที่ยอมรับและมีคนนับถือมากมาย จึงได้กลับมาเมืองเมกกะ และทำการเผยแผ่ศาสนาอิสลามอย่างเต็มที่ การขยายศาสนาอิสลามออกไปยังประเทศต่าง ๆ ในยุคหลังเป็นไปโดยการใช้สงครามเข้ายึดเมืองเพื่อเผยแผ่ศาสนา
คัมภีร์ของศาสนาอิสลาม ได้แก่ คัมภีร์ อัล-กุรอาน ชาวมุสลิมเชื่อว่าเป็นโองการของพระเจ้าหรืออัลลอฮ์ประทานผ่านทาง นบีมู ฮำมัด มีทั้งหมด 6,660 โองการ 114 ซูเราะห์ (บท) และเชื่อกันว่าโองการเหล่านี้ อัลลอฮ์ประทานมาเป็นระยะ ๆ ตามเหตุการณ์ใช้เวลาถึง 23 ปี จึงเป็นคัมภีร์อัล-กุรอานที่ประกอบด้วย หลักศรัทธา 6 ประการ คือ 1)ศรัทธาต่อพระเจ้า(อัลลอฮ์) 2) ศรัทธาต่อบรรดามลาอิกะ หรือเทวฑูต 3) ศรัทธาต่อบรรดาคัมภีร์ 4) ศรัทธาต่อบรรดารอซู้ล หรือศาสนฑูต (นบี) 5) ศรัทธาต่อวันสิ้นโลก 6)ศรัทธาต่อกฎกำหนดสภาวะการณ์ (ของพระเจ้า) โดยคำว่า " ศรัทธา " หมายถึง ความเชื่อถือ ความเลื่อมใส
สำหรับหลักปฏิบัติ มี 5 ประการ คือ 1)การปฏิบัติตน "ไม่มีพระเจ้าองค์ใด นอกจากอัลลอฮ์ และมูฮำมัด คือศาสนฑูตแห่งพระองค์" 2) การนมาซ หรือ ละหมาด มุสลิมต้องละหมาดวันละ 5 ครั้ง (ย่ำรุ่ง กลางวัน เย็น พลบค่ำ กลางคืน ) การละหมาดอาจทำที่ใดก็ได้ แต่ต้องหันหน้าไปทางเมืองเมกกะประเทศซาอุดิอาระเบีย 3) การถือศีลอด 4) การบริจาคซะกาต 5) การประกอบพิธีฮัจญ์
ศาสนาอิสลามเผยแผ่เข้าสู่ประเทศไทย ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยจนถึงปัจจุบัน มีชาวไทยผู้นับถือศาสนาอิสลามมากเป็นอันดับสอง รองจากศาสนาพุทธ มีองค์กรทางศาสนาที่ราชการรับรอง เรียกว่าสำนักจุฬาราชมนตรี โดยมีจุฬาราชมนตรีเป็นผู้นำสูงสุด มีโครงสร้างการบริหารเป็นกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย กรรมการกลางอิสลามประจำจังหวัด และกรรมการกลางอิสลามประจำมัสยิด ในแต่ละมัสยิด(สุเหร่า) มีอิหม่าม คอเต็บ และบิหลั่น ประเภทละ 1 คนรวม 3 คน เป็นผู้ปกครองดูแลสัปปุรุษ
ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นศาสนาเดียวกัน โดยศาสนาฮินดูพัฒนามาจากศาสนาพราหมณ์และเกิดในยุคพระเวท พวกอารยันซึ่งเป็นพวกผิวขาวได้เดินทางมาจากตอนใต้ของรัสเซียเข้ามาขับไล่พวกดราวิเดียนซึ่งเป็นพวกผิวดำ และเป็นชนพื้นเมืองเดิมของพวกอินเดีย พวกดราวิเดียนบางพวกหนีไปอยู่ศรีลังกาและไปเป็นชนพื้นเมืองเดิมของ ศรีลังกา บางพวกได้สืบเชื้อสายผสมผสานเผ่าพันธุ์กับพวกอารยันกลายเป็นคนอินเดียในปัจจุบัน คนอารยันนับถือ พระอาทิตย์ ส่วนพวกชนพื้นเมืองเดิมนับถือไฟ พวกอารยันเห็นว่าความเชื่อของตนเข้ากันได้กับพวกดราวิเดียน จึงได้เผยแพร่ความเชื่อของตนโดยชี้ให้เห็นว่าดวงไฟที่ยิ่งใหญ่ นั้นคือดวงอาทิตย์ จึงควรนับถือพระอาทิตย์ซึ่ง เป็นที่มาของไฟทั้งปวงในโลกมนุษย์ทำให้แนวความคิดของชนพื้นเมืองเดิมกับพวกอารยันผสมผสานเข้าด้วยกัน จนเกิดเป็นศาสนาพราหมณ์
ศาสนาพราหมณ์- ฮินดู ได้เกิดขึ้นและเผยแผ่มาเป็นเวลานานตั้งแต่1,000 ปี ก่อนพุทธกาล ทำให้แนวคิดทางศาสน าแตกต่างกันมาก จึงแบ่งออกเป็นยุคต่าง ๆ 3 ยุค คือ
1) ยุคพระเวท ประมาณ 100 -1,000 ปี ก่อนพุทธกาล ได้เกิดคัมภีร์
พระเวทขึ้นประกอบด้วยคัมภีร์ 4 เล่ม คือ คัมภีร์ฤคเวท ใช้สวดสรรเสริญเทพเจ้า คัมภีร์ยชุรเวท ว่าด้วยระเบียบวิธีในการประกอบพิธีบูชายันและบวงสรวงต่าง ๆ คัมภีร์สามเวท ใช้สำหรับสวดในพิธีถวายน้ำโสมแก่พระอินทร์ และขับกล่อมเทพเจ้า และ คัมภีร์อาถรรพเวท ใช้เป็นที่รวบรวมคาถาอาคม หรือเวทมนต์
2) ยุคพราหมณ์ ประมาณ 100 ปี ก่อนพุทธกาล
3) ยุคฮินดู ตั้งแต่ พ.ศ. 700 เป็นต้นมา
ในตอนปลายยุคพระเวทอิทธิพลของพราหมณ์ได้ก้าวถึงจุดสูงสุด ในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ทางศาสนาพิธีกรรมมีความสลับซับซ้อนกลายเป็นสิ่งที่มีความขลัง และศักดิ์สิทธิ์ทั้งนี้รวมไปถึงการแปลความหมายของคัมภีร์พระเวทและได้เกิดระบบวรรณะขึ้น 4 วรรณะ คือ
1) วรรณะพราหมณ์ มีหน้าที่ติดต่อกับเทพเจ้า สั่งสอนศาสนาและประกอบพิธีกรรมแก่ประชาชนทุกวรรณะมีหน้าที่ศึกษา จดจำและสืบต่อคัมภีร์พระเวท
2) วรรณะกษัตริย์ ได้แก่พวกนักรบ ทำหน้าที่ป้องกันชาติบ้านเมือง และทำศึกสงคราม
3) วรรณะแพศย์ เป็นวรรณะของคนส่วนใหญ่ในสังคมได้แก่ ผู้ประกอบพาณิชกรรม เกษตรกรรม
4) วรรณะศูทร เป็นวรรณะของพวกกรรมกรผู้ใช้แรงงาน นอกจากนี้ยังมีพวกนอกวรรณะ ซึ่งเกิดจาก การแต่งงานข้ามวรรณะ เรียกว่า " จัณฑาล " ซึ่งเป็นที่รังเกียจของทุกวรรณะ
ในประเทศไทยศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ได้เผยแผ่เข้ามาในสุวรรณภูมิก่อนพุทธกาล ดังหลักฐานจากโบราณสถานที่ต่าง ๆ ในยุคขอมเรืองอำนาจ พิธีกรรมของศาสนาพราหมณ์เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตไทยผสมกลมกลืนกับพิธีกรรมทางพระ พุทธศาสนา และเป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีที่สำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ตราบถึงปัจจุบัน
ศาสนาพราหมณ์มีองค์การทางศาสนาดูแลรับผิดชอบและเป็นหน่วยงานในสังกัดสำนักพระราชวัง คือ สำนักพราหมณ์พระราชครู มีสำนักงานอยู่ที่เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ เสาชิงช้า กรุงเทพมหานคร
สำหรับศาสนาฮินดูนั้น เป็นศาสนาของชาวอินเดียที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร มีองค์การทางศาสนา 2 หน่วยงาน ได้แก่ 1) สมาคมฮินดูสมาซ 2)สมาคมฮินดูธรรมสภา ทั้งสองหน่วยงานตั้งอยู่ที่บริเวณเสาชิงช้า ด้านตะวันออกของวัดสุทัศน์เทพวราราม และซอยวัดดอน ยานนาวา กรุงเทพมหานคร
ศาสนาซิกข์
ศาสนาซิกข์ เป็นศาสนาที่มุ่งสอนให้มนุษย์ทำความดีละความชั่ว สอนให้พิจารณาที่เหตุ และให้ยับยั้งต้นเหต ุด้วยสติปัญญา ตำหนิในสิ่งที่ควรตำหนิ และชมเชยในสิ่งที่ควรชมเชย สอนมนุษย์รักกันฉันท์มิตรพี่น้อง รู้จัก ให้อภัยต่อกัน สอนให้เข้าใจถึงการทำบุญ และการทำทาน ให้ละเว้นบาปทั้งปวง สอนให้เราทั้งหลายทราบว่า ไม่มีสิ่งใดมีอนิสงส์เสมอภาวนา สรรพสิ่งทั้งมวลย่อมแตกดับตามกาลเวลา
ศาสนาซิกข์ เป็นศาสนาที่เกิดขึ้นในประเทศอินเดีย ประมาณ 5 ศตวรรษกว่าล่วงมาแล้ว มีพระศาสดา นานักเทพ เป็นองค์พระปฐมบรมศาสดา ทรงประสูตร เมื่อ พ.ศ. 2012 ณ หมู่บ้านติวัลดี ปัจจุบัน คือประเทศปากีสถาน และมีพระศาสดาสืบทอดศาสนามาอีก 9 พระองค์ คือ พระศาสดาอังฆัตเทพ พระศาสดาอมรดาส พระศาสดา รามดาส พระศาสดาอรชุนเทพ พระศาสดาหริโควินท พระศาสดาหริราย พระศาสดาหริกริชัน พระศาสดา เตฆบหาฑรู พระศาสดาโควินทสิงห์ รวมทั้งสิ้น 10 พระศาสดา พระศาสดาโควินทสิงห์ ซึ่งเป็นพระศาสดา องค์สุดท้าย ได้บัญญัติให้ชาวซิกข์ยึดถือในธรรมะอย่างเดียว นับว่าเป็นการยุติการสืบทอดศาสนาโดยบุคคล อย่างสิ้นเชิง ในขณะที่พระองค์ยังมีชนม์ชีพอยู่ พระศาสดาได้ลิขิตและรวบรวมไว้เป็นเล่มเรียกว่า " พระมหาคัมภีร์ อาทิครันถ์ "
นอกจากนี้พระศาสดาโควินทสิงห์ ได้บัญญัติให้ชาวซิกข์ทุกคนยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดดังนี้
ต่อจากพระองค์แล้ว จะไม่มีพระศาสดาเป็นบุคคลสืบต่อไปอีกเด็ดขาด ทั้งนี้เพราะพระองค์ได้มอบพระโชติไว้ในพระคัมภีร์ อาทิครันถ์ แล้ว และได้อันเชิญพระคัมภีร์อาทิครันถ์ เป็นพระศาสดานิรันดร
พระคัมภีร์อาทิครันถ์ ที่เป็นพระศาสดานิรันดรของชาวซิกข์นั้น เป็นที่รวมคำสอนของพระผู้เป็นเจ้า ( กรตาปุรุข ) ที่พระศาสดานำมาเผยแพร่ พระศาสดาโควินทสิงห์ ทรงมีรับสั่งชาวซิกข์ไว้ว่า ด้วยโองการของพระเจ้า กรตาปุรุข จึงได้จัดตั้งอาณาจักรมีบัญชาถึงชาวซิกข์ทุกคนให้ถึงองค์พระคัมภีร์อาทิครันถ์ เป็นพระศาสดานิรันดร ผู้ใดใคร่พบพระองค์ขอให้เปิดพบได้ในพระคัมภีร์อาทิครันถ์ เท่านั้น ผู้ที่เชื่อในพระคัมภีร์อาทิครันถ์ เท่ากับว่าได้เชื่อพระองค์โดยตรง ทั้งนี้เพราะคำสอนทั้งหมดที่จารึกไว้นั้น เป็นคำสั่งสอนและคำสัญญาของพระเจ้า กรตาปุรุข ทั้งสิ้น คำสอนนี้เป็นทั้งรูปและนามของพระองค์ ( กรตาปุรุข ) ผู้ใดระลึกถึงธรรมของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทับอยู่ด้วย ผู้ใดนับถือพระคัมภีร์อาทิครันถ์นี้แล้ว เท่ากับว่าได้บูชาในพระเจ้าแล้ว (กรตาปุรุข) และจะหลุดพ้นจากวัฏฏสงสาร พระธรรมเป็นสัญญาลักษณ์อมตะของพระเจ้า กรตาปุรุข
ดังนั้นชาวซิกข์ทุกคน กราบไหว้บูชา เคารพนับถือพระคัมภีร์อาทิครันถ์ เป็นพระศาสดานิรันดร จวบจนปัจจุบันเป็นเวลากว่า 300 ปี และตลอดไปชั่วกาลนาน
พระคัมภีร์ อาทิครันถ์ ที่พระศาสดานำมาเผยแพร่ มีความหมายถึง 1,430 อังสะ (ส่วน หรือตอน) ชาวซิกข์จะประกอบพิธีกรรมทางศาสนาจะต้องอัญเชิญพระคัมภีร์ ไปประดิษฐานเป็นองค์พระประธาน สวดมนต์และถวายปรนนิบัติโดยอัญเชิญพระธรรมในคัมภีร์ หนึ่งโศลค (บท) ก่อน แล้วอาราธนาคุณพระผู้เป็นเจ้ากรตาปุรุข จึงจะถือว่าพิธีนั้นเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์
ปัจจุบันชาวซิกข์ มีศูนย์สาขา ณ สุวรรณวิหาร นครอมฤตสระ แคว้นปัญจาบ ประเทศอินเดีย และมีศูนย์กลางศาสนาในประเทศไทย ณ สมาคมศรีคุรุสิงห์สถา ซึ่งเป็นศูนย์รวมซิกข์สนิกชน ตั้งอยู่เลขที่ 565 ถนนจักรเพชร กรุงเทพมหานคร
ขอบคุณข้อมูลจาก http://lookky8.blogspot.com/2013/07/blog-post.html