ปัญหาคดีจับพระสึก

นับว่าเป็นปมที่น่าขบคิดถึงความโปร่งใสของกระบวนการที่ถูกดำเนินไปอย่างรวดเร็วจนดูผิดปกติ http://winne.ws/n23930

1.4 พัน ผู้เข้าชม

การจับกุมและดำเนินคดีอาญาพระเถรานุเถระครั้งใหญ่  และบังคับให้สละสมณเพศทำให้เกิดประเด็นปัญหาที่จะต้องแก้ไขต่อไปหลายเรื่อง  เริ่มด้วยข้อสังเกตของนายอภิสิทธื  เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์  ที่ว่าคดีอดีตพระพุทธอิสระเกิดมานานกว่า 4 ปี เหตุใดจึงมาดำเนินการพร้อมกันกับคดีทุจริตเงินทอนวัดจึงเชื่อได้ยากว่าเป็นกระบวนการปกติ

ความสงสัยในความผิดปกติของคดี ถูกซ้ำเติมด้วยคำกล่าวของอดีตพระพุทธะอิสระที่ฝากถึงบรรดาลูกศิษย์ว่าอย่าโกรธตำรวจหรือ คสช. การเข้ามาในเรือนจำยังไม่ทำให้พ้นความเป็นพระ  เพราะไม่ได้เปล่งวาจาสึก  รออีกไม่นานก็จะได้ออกไปห่มผ้าเหลืองเหมือนเดิม  การเข้าคุกเป็นการปราบอลัชชี “ให้คิดว่ามาติดคุกขำๆ”น่าสงสัยว่ามีการเล่นละครอะไรหรือไม่

ประเด็นต่อไป  จากรายงานข่าวของสื่อมวลชน  ซึ่งน่าจะได้มาจากตำรวจเป็นส่วนใหญ่  ทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่า  พระเป็นผู้กระทำความผิดฝ่ายเดียวในคดีทุจริตเงินทอนวัด  ทั้งๆ ที่ต้นตอของคดีนี้เริ่มต้นจากข้าราชการสำนึกพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) เที่ยวเสนอเงินอุดหนุนวัดต่างๆ เช่น ให้ 10 ล้านบาท แล้วขอคืน 8 ล้านบาท

ประเด็นที่สาม  นอกจากโดนข้อหาทุจริตและฟอกเงิน  ซึ่งเป็นความผิดทางอาญายังมีการปล่อยข่าวว่าพระผู้ใหญ่ที่ถูกกล่าวหาบางรูปมั่วสีกา  แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นใคร  จึงทำให้มัวหมองโดยทั่วหน้าเป็นการกล่าวหาว่าพระต้องอาบัติปาราชิกถึง 2 ข้อ คือ ยักยอกทรัพย์และเสพเมถุนสะท้อนถึงความตกต่ำอย่างสุดๆ การหย่อนยานในพระธรรมวินัยในวงการสงฆ์ 

จึงนำไปสู่ประเด็นที่สี่คือ เสียงเรียกร้องให้ปฏิรูปคณะสงฆ์ ผลการสำรวจความเห็นประชาชน โดยนิด้าโพล เมื่อปี 2560 คนส่วนใหญ่เรียกร้องให้ปฏิรูปวงการสงฆ์เร่งด่วนและเห็ฯว่าการปกครองคณะสงฆ์ของมหาเถรสมาคมขาดประสิทธิภาพ  ส่วนเรื่องที่ควรปฏิรูป ได้แก่ กฎหมาย และองคืกรที่เกี่ยวข้อง เช่น มส. และ พศ.และบังคับใช้พระวินัยโดยเคร่งครัด

ปัญหาคดีจับพระสึก

ประเด็นที่ห้ามาจากแถลงการณ์ของสมาคมเปรียญธรรม 9 ประโยค กล่าวว่าการที่เจ้าพนักงานของรัฐกล่าวหาพระสงฆ์ในทางอาญาและบังคับให้สละสมณเพศ เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพบุคคลตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะในทางพระวินัยจะจับพระสึกได้เฉพาะเมื่อต้องอาบัติปาราชิกจึงเรียกร้องให้องค์กรชาวพุทธทั่วประเทศร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัย

ขณะนี้คดีอยู่ในขั้นพนักงานสอบสวนหรือตำรวจ  ยังไม่ถึงอัยการด้วยซ้ำ  แต่ผู้ต้องหาถูกจับสึกแล้ว แม้จะยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดพระภิกษุที่เป็นจำเลยอาจกลับมาบวชอีกได้ ถ้าศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าไม่ได้กระทำความผิด  แม่เมื่อบวชใหม่ต้องเริ่มต้นนับพรรษาใหม่สูญเสียสิทธิที่เคยมี 40-50 พรรษา รวมทั้งสมณศักดิ์และตำแหน่งต่างๆใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ

จากประเด็นข้างต้นที่สำนักข่าวไทยรัฐได้กล่าวรายงานไว้ นับว่าเป็นปมที่น่าขบคิดถึงความโปร่งใสของกระบวนการที่ถูกดำเนินไปอย่างรวดเร็วจนดูผิดปกติ  

นอกจากประเด็นดังกล่าวแล้ว  ขั้นตอนการปฏิบัติกับพระผู้ใหญ่ ก็ยังไม่มีหนังสือในการแจ้งข้อกล่าวหา ไม่มีหมายจับ  แต่เป็นการบุกจับ และดำเนินการอย่างรวบรัดรวดเร็วให้ท่านต้องเปลี่ยนชุดนุ่งขาว  นับว่าเป็นการกระทำต่อความเป็นพระผู้ใหญ่ที่มีคุณูปการมาก ที่ไม่สมควร  

สิ่งเหล่านั้นชวนให้ตั้งข้อสงสัยได้ว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่มีวาระซ้อนเร้นในกระบวนการดังกล่าว ที่ไม่ใช่เพียงแค่การจัดการกับพระผู้ใหญ่ที่เป็นเสาหลักของวงการสงฆ์ทั้งประเทศ  แต่หมายถึงการหาเหตุเพื่อนำไปสู่การเข้ามาจัดการกับพระพุทธอาณาจักรโดยหวังผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งของกลุ่มคนบางกลุ่ม 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ พระภิกษุ และพระพุทธศาสนา ณ วันนี้ จึงนับว่าน่าเป็นห่วง เป็นสถานการณ์ที่สังคมต้องไตร่ตรองและช่วยตรวจตราอย่างจริงจัง  


โฆษิกา  เรียบเรียง 

ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก สำนักข่าวไทยรัฐ
https://www.thairath.co.th/content/1294836

แชร์