กล่าวหาพระ แต่ใครเสียหาย ?

เรายังไม่รับฟังหลักฐานเหตุผลข้อเท็จจริงของพระผู้เจริญในธรรมมาตลอดชีวิต อย่าด่วนสรุปถึงขั้นประหารความเป็นพระผู้สร้างความเจริญมั่นคงแก่สถาบันชาติ พระพุทธศาสนา และพระมหากษัตริย์ มิฉะนั้นระบบกล่าวหาในกระบวนการยุติธรรมจะตกเป็นเครื่องทำลายล้างอย่างร้ายกาจ http://winne.ws/n23413

1.6 พัน ผู้เข้าชม

กรณีเงินงบประมาณสนับสนุนการศึกษาแผนกต่างๆของวัด ที่มีการกล่าวโทษต่อ พระผู้ใหญ่ของมหาเถระสมาคม 3 ท่าน นั้น  เป็นแต่เพียง ข้อกล่าวหา ! กระบวนการตรวจสอบยังต้องทำอีกมาก
ยังไม่มีคำตัดสินใดๆทั้งสิ้นว่าผิด

แต่เพียงแค่มีการนำเสนอข่าวออกไปเท่านั้นก็กลายเป็นกระแสพิพากษาจาบจ้วงล่วงเกินพระไปแล้ว  

สังคมไทยเป็นสังคมดราม่า   นิสัยความเชื่อง่ายและไม่คิดหาเหตุผล ต้นตอ หรือไม่แม้แต่จะฟังความให้รอบด้าน จึงกลายเป็นเครื่องมือของผู้แสวงหาประโยชน์ได้อย่างง่ายดายและได้ผลตลอดมา  เห็นได้ชัดจากพฤติกรรมการรับข่าวสารและ ปฏิกิริยาโต้ตอบที่แสดงให้เห็นถึงความคับแคบโดยเฉพาะจากกรณีการกล่าวหาพระผู้ใหญ่ที่กล่าวมา หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมากล่าวถึง เพราะผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นไม่เล็กน้อย   

กล่าวหาพระ  แต่ใครเสียหาย ?

ลองมาพิจารณาสักหน่อยเป็นไรว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับใคร?

1.      ส่งผลกระทบต่อศรัทธาที่จะทำความดีของประชาชนโดยตรง  ข้อนี้แบ่งระดับความมั่นคงของศรัทธาออกเป็น 3 ระดับ

1.1   ระดับอ่อน คือ เชื่อง่าย ศรัทธาหมดง่าย ได้ยินได้ฟังมาแม้นิดหน่อยคนเหล่านี้ก็ประกาศตนเลิกทำบุญทำกุศลไม่เอาพระไม่เอาวัดไม่เอาพุทธศาสนาทั้งหมด! ที่เลวร้ายกว่านั้นคือการแสดงความคิดเห็นด้วยถ้อยคำไม่สุภาพไร้ความเคารพและไร้ความละอาย  คนกลุ่มนี้น่าเป็นห่วง เพราะการตัดสินใจและการกระแบบนั้นผู้เสียหายคือตัวของเขาเอง

1.2   ระดับกลาง  คือ ฟังหูไว้หู ความศรัทธาอาจคลอนแคลนหวั่นไหวบ้าง  แต่ก็ยังไม่ถึงกับหันหลังเสียทีเดียว  คนกลุ่มนี้ถ้ารับข้อมูลเชิงลบบ่อยๆก็มีสิทธิ์คล้อยตามได้ แต่ถ้าได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ก็จะช่วยให้เข้าใจและมีจุดยืนที่ถูกต้องและรอดจากการเป็นเหยื่อของกระแสได้  

1.3   ระดับมั่นคง  คือ มีสติสัมปชัญญะและรู้จักใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง ใช้เหตุใช้ผล มองโลกตามความเป็นจริง รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควรคนกลุ่มนี้ไม่ตกเป็นเหยื่อของกระแสใดๆได้ง่ายๆ

2.      จากข้อ 1.1 ( หรือ/และ 1.2 ) เมื่อคนเกิดหมดศรัทธาไม่ทำความดีในที่นี้ คือ ไม่ทำบุญในบุญเขต เรื่องนี้เรื่องใหญ่ ถ้าใครเข้าใจเรื่อง“บุญเขต” จะเห็นภาพว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นกระทบกันข้ามชาติ  ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่า  ข้อมูลใดที่ส่งผลเป็นการทำลายศรัทธาของมนุษย์ในระดับตัดเส้นทางสัมมาทิฐิหรือตัดหนทางสุคตินั้น นับว่าเป็นบาปหนักที่เกิดความเสียหายทั้งผู้ให้ข้อมูล และผู้รับและเชื่อข้อมูลอย่างใหญ่หลวงเสียเอง

3.      แน่นอนความเสียหายนี้ย่อมเกิดขึ้นต่อชื่อเสียงของพระผู้ใหญ่โดยตรงด้วยโดยที่เพียงแค่มีการนำเสนอข่าวออกมาเท่านั้น ซึ่งเป็นกรณีที่แสดงให้เห็นว่า บุคคลที่อ้างตนเองว่าเป็นชาวพุทธหรือมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการพระศาสนาปราศจากความระมัดระวังรอบคอบในการปฏิบัติตนต่อพระพุทธศาสนา ต่อพระรัตนตรัยหรือพระผู้ใหญ่ด้วยความเคารพที่สมฐานะ  เพราะรูปการที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และศรัทธาในคณะสงฆ์ในพระพุทธศาสนาอย่างมาก ที่แม้เมื่อผลสุดท้ายการตรวจสอบหากพบว่าพระผู้ใหญ่ท่านบริสุทธิ์ ก็ไม่อาจจะเป็นการทดแทนสิ่งที่เสียหายไปแล้วระหว่างทางได้ 

การกล่าวหาพระผู้ใหญ่ซึ่งอยู่ในชั้นปกครองของการคณะสงฆ์นั้นเป็นเรื่องใหญ่และละเอียดอ่อนมาก ต่อเรื่องดังกล่าว นายพิศิษฐ์  ลีลาวชิโรภาส อดีตผู้ว่าการสำนักการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)  (ซึ่ง facebook ของ นายโฆสิต สุวินิจจิต ได้นำมา post เผยแพร่)   ได้ให้ความคิดเห็นไว้ว่า ... 

"ผมเคยตรวจรู้เรื่องเงินอุดหนุนวัดและรู้ว่าเงินทอนวัดเป็นอย่างไร ...แต่เรื่องนี้ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งกับท่านโฆสิตฯเรายังไม่รับฟังหลักฐานเหตุผลข้อเท็จจริงของพระผู้เจริญในธรรมมาตลอดชีวิตอย่าด่วนสรุปถึงขั้นประหารความเป็นพระผู้สร้างความเจริญมั่นคงแก่สถาบันชาติพระพุทธศาสนา และพระมหากษัตริย์ มิฉะนั้นระบบกล่าวหาในกระบวนการยุติธรรมจะตกเป็นเครื่องทำลายล้างอย่างร้ายกาจหากผิดพลาดไปยากที่จะแก้ไขเยียวยาอย่างเป็นธรรมได้ ใช่แก่บุคคลที่ถูกกล่าวหารวมตลอดทั้งสถาบันพระพุทธศาสนาด้วย (กราบ)

ข้อความที่2 (ต่อเนื่อง)

“เราควรติดตามผลด้วยความเชื่อมั่นในกระบวนการของ ปปช.ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่จะไต่สวนหลักฐานข้อเท็จจริงการดำเนินการของวัดหรือพระมีเจตนาที่เป็นเถยจิตหรือไม่ใช้จ่ายเงินอย่างไร เสียหายหรือไม่ประการใด"

แน่นอนว่า “พระ” ท่านก็ไม่ได้อยู่เหนือกฎหมาย  ยิ่งกว่านั้นท่านย่อมให้ความร่วมมือเพื่อพิสูจน์ความจริงให้กระจ่างอย่างแน่นอน แต่สิ่งสำคัญ ณ สถานการณ์นี้ คือขอให้ตระหนักว่าการปฏิบัติต่อเรื่องที่ละเอียดอ่อนนั้นต้องระมัดระวังผลกระทบให้รอบด้านซึ่งหวังอย่างยิ่งว่า ประชาชนเราท่านจะใช้สัมปชัญญะไตร่ตรอง และดำรงตนอยู่ด้วยสติระลึกรู้ด้วยตนเองได้ว่าสิ่งใดควรไม่ควร 

ขอบคุณความคิดเห็นจาก 
นายพิศิษฐ์  ลีลาวชิโรภาส อดีตผู้ว่าการสำนักการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)
https://www.facebook.com/kosit24/

ขอบคุณภาพมหาเถรสมาคมจาก 
www.matichon.co.th/news/470304

บทความที่เกี่ยวข้อง 
มหาเถระสะอึก ถุกตั้งข้อกล่าวหาเข้าข่ายอาบัติปาราชิก
https://www.dailynews.co.th/article/638576

สอบกรรมการมหาเถรฯ ทุจริต | ถามตรงๆกับจอมขวัญ | 25 เม.ย. 61
https://www.youtube.com/watch?v=rDnJSY7j9kY

แชร์