"อินเดีย"ดินแดนแห่งความหลากหลายของศิลปวัฒนธรรมทั้งศาสนา ภาษา ปรัชญา นักคิดนักเขียน

อินเดียได้ชื่อว่าเป็นดินแดนของศาสนาและปรัชญา มีศิลปิน นักคิด และนักเขียนเกิดขึ้นในอินเดียมากมาย ความรุ่งเรือง และความมั่งคั่งในประเทศ เป็นที่เล่าลือกันว่าเป็น แผ่นดินที่ร่ำรวยด้วยศิลปวัฒนธรรมและทรัพยากรธรรมชาติ http://winne.ws/n18859

6.2 หมื่น ผู้เข้าชม
"อินเดีย"ดินแดนแห่งความหลากหลายของศิลปวัฒนธรรมทั้งศาสนา ภาษา ปรัชญา นักคิดนักเขียน

ศาสนา

อินเดียได้ชื่อว่าเป็นดินแดนของศาสนา  และปรัชญา  อินเดียไม่มีศาสนาประจำชาติ   แต่อินเดียเป็นเมืองกำเนิดศาสนาสำคัญของโลก  4  ศาสนา  คือ ฮินดู  อิสลาม  พุทธ  และเชน  ปัจจุบันศาสนาเหล่านี้ยังคงมีชาวอินเดียนับถือศรัทธาอย่างต่อเนื่องตลอดมา  ชาวอินเดียส่วนใหญ่นับถือ  ศาสนาฮินดู  ซึ่งมีจำนวนมากถึง  82.41%   นับถือศาสนาอิสลาม  11.67%   นอกนั้นนับถือศาสนาอื่น ๆ โดยผู้ที่นับถือศาสนาพุทธมีอยู่ประมาณ  0.77%

ศาสนาซิกข์เป็นอีกศาสนาหนึ่งที่เกิดขึ้นในอินเดียในศตวรรษที่ 15 ขณะนี้มีชาวอินเดียนับถือซิกข์อยู่ประมาณ  2 %  ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาของชนกลุ่มน้อยในอินเดียมีอยู่ประมาณ 2% นอกจากนี้  มีชาวยิวอยู่ประมาณ  2-3 พันคน

เรื่องศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่มีอิทธิพลต่อชาวอินเดียมาช้านาน  แม้ในปัจจุบันอินเดียก็ยังมีปัญหาเรื่องการขัดแย้งกัน จนถึงขั้นนองเลือดระหว่างอินเดียในประเทศที่นับถือศาสนาต่างกัน เช่น  ฮินดูกับซิกข์อยู่บ่อย ๆ

"อินเดีย"ดินแดนแห่งความหลากหลายของศิลปวัฒนธรรมทั้งศาสนา ภาษา ปรัชญา นักคิดนักเขียน

ศิลปวัฒนธรรม

อินเดียเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมเก่าแก่โบราณมานานนับพัน ๆ ปี  ประชากรประกอบด้วยชนเผ่าต่าง ๆ  ทีสืบเชื้อสายมาจากกลุ่มชนที่มีอารยธรรมรุ่งเรือง มาแต่ครั้งก่อนประวัติศาสตร์ คืออารยธรรมลุ่มน้ำสินธุ  ประวัติศาสตร์อันยาวนานของอินเดียผ่านการปกครองของชาติ ที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีตมามากมาย  เช่น พวกเติร์กที่นำศาสนาอิสลาม  และวัฒนธรรมของชาวเปอร์เซียเข้ามาเผยแพร่วัฒนธรรมใหม่ ผสมกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวอินเดีย ก่อให้เกิดมรดกทางวัฒนธรรม เช่น  สถาปัตยกรรมที่มีลักษณะเด่นจากการผสมผสานกัน ระหว่างศิลปะของโมกุล กับเปอร์เซีย

ในด้านภาษา  ชนในชาติอินเดียทีมีอยู่หลายกลุ่ม  มีความหลากหลายทางประเพณี  ภาษา  และวัฒนธรรม ทำให้เป็นประเทศที่มีภาษาถิ่นหลายสิบภาษา  ภาษาราชการของอินเดีย คือ ภาษาฮินดี ที่มีตัวเขียนเป็นตัวอักษรเทวนาครี  ซึ่งเป็นภาษาเก่าแก่โบราณของโลก  ปัจจุบันคนอินเดีย  30% พูดภาษาฮินดี

ส่วนภาษาอังกฤษนั้น  การตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ  ทำให้คนอินเดียต้องเรียนรู้ภาษาอังกฤษทุกคน   ดังนั้นภาษาอังกฤษจึงเป็นภาษาที่คนอินเดียเข้าใจดี   และใช้ได้คล่องในการสื่อสารทั้งการพูด และการเขียน   จนภาษาอังกฤษเป็นภาษาสำคัญระดับชาติของอินเดีย  ใช้ในการทำธุรกิจการค้า  และการเมืองทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ในแต่ละรัฐทางราชการจะประกาศให้ใช้ภาษาถิ่น (dialects) ของท้องถิ่นนั้นเป็นภาษาราชการ  อินเดียมีภาษาถิ่นที่เป็นภาษาราชการอยู่ด้วยกันมากถึง  18  ภาษา  เช่น  เบงกาลี  เตลุคุ  มาราติ  ทมิฬ  อูรูดู  กุจารัติ  มะลายาลัม  ปัญจาบี  อัสสัมมี และแคชเมียร์  เป็นต้น  ส่วนภาษาสันสกฤต ซึ่งเป็นภาษาราชการด้วยภาษาหนึ่งนั้น  ปัจจุบันไม่ค่อยใช้กันแล้ว  นอกจากจะใช้ในงานรัฐพิธีหรือในงานที่มีพิธีรีตรองตามประเพณี  รวมแล้วอินเดียมีภาษาต่าง ๆ ที่ใช้พูดกันในประเทศประมาณ  24  ภาษา  แต่ละภาษามีคนอินเดียไม่ต่ำกว่า  1  ล้านคน หรือมากกว่าใช้พูดกันในชีวิตประจำวัน

"อินเดีย"ดินแดนแห่งความหลากหลายของศิลปวัฒนธรรมทั้งศาสนา ภาษา ปรัชญา นักคิดนักเขียน
"อินเดีย"ดินแดนแห่งความหลากหลายของศิลปวัฒนธรรมทั้งศาสนา ภาษา ปรัชญา นักคิดนักเขียน

อินเดียได้ชื่อว่าเป็นดินแดนของศาสนาและปรัชญา  มีศิลปิน  นักคิด  และนักเขียนเกิดขึ้นในอินเดียมากมาย   ความรุ่งเรือง และความมั่งคั่งในประเทศ  เป็นที่เล่าลือกันว่าเป็น 

แผ่นดินที่ร่ำรวยด้วยศิลปวัฒนธรรมและทรัพยากรธรรมชาติ  เช่น เพชรนิลจินดา และสินแร่ค่ามหาศาล  สิ่งเหล่านี้ทำให้ตกเป็นเป้าสายตาของประเทศที่ล่าเมืองขึ้น จนอินเดียต้องตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษมาเป็นเวลานาน วัฒนธรรมของคนอินเดีย แม้จะมีการเลือกปฏิบัติ  แต่ให้เกียรติผู้หญิง  ถึงแม้ว่าสตรีจะมีฐานะด้อยกว่าบุรุษในสังคมทั่วไป  แต่คนอินเดียจะไม่แตะต้องร่างกายสตรีในที่สาธารณะ  มารยาทในการทักทายกัน  ทั้งหญิงและชายจะพนมมือไหว้เหมือนคนไทย  เพียงแต่ไม่ก้มศีรษะ  ไม่มีการจับมือกันแบบเช็คแฮนด์ เช่นชาวยุโรป   ในชนบทที่ห่างไกลความเจริญ   ผู้ชายอินเดียมักจ้องมองผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงต่างชาติอย่างจริงจัง   ไม่ต้องตกใจกลัวว่าพวกเขาจะเข้ามาลวนลามทางเพศ   หากตราบใดที่การนุ่งห่มเสื้อผ้าเรียบร้อยมิดชิดเป็นสุภาพชน  พวกเขามองเพราะความสนใจ และสงสัยไม่ได้มองด้วยเจตนาจะเข้ามาคุกคามทำร้ายแต่อย่างใด 

อินเดียมีชื่อเสียงตรงที่มีประชาชนในประเทศยากจนมาก   ดังนั้นจึงพบขอทานในทุกสถานที่  ปัจจุบันขอทานอินเดียมีแต่เด็ก ๆ ที่ยากจน  คนโต แล้วมักจะทำความรำคาญ ให้นักท่องเที่ยวด้วยการเซ้าซี้ให้ซื้อสินค้าที่นำมาขาย   ตามแหล่งท่องเที่ยวจะมีเจ้าหน้าที่คอยป้องกันไม่ให้เด็กขอทาน และพวกขายของเข้ามายุ่งย่ามทำความรำคาญให้นักท่องเที่ยว

"อินเดีย"ดินแดนแห่งความหลากหลายของศิลปวัฒนธรรมทั้งศาสนา ภาษา ปรัชญา นักคิดนักเขียน

อาหารการกิน

อาหารอินเดียมีชื่อเสียงในการใช้เครื่องเทศเป็นหลักในการปรุงอาหาร  อินเดียมีวัฒนธรรมรุ่งเรืองมานานนับพันปี   อาหารการกินของอินเดียจึงมีชื่อเสียงในด้านวัฒนธรรมการกิน ที่ต่างไปจากอีกซีกโลกอื่นมาก

                คนอินเดียส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู  ซึ่งนับถือวัวเป็นสัตว์ของเทพเจ้า  ดังนั้นเนื้อวัวจึงเป็นอาหารต้องห้ามของชาวฮินดู   ส่วนเนื้อหมูนั้นเป็นอาหารต้องห้ามของชาวมุสลิม  ซึ่งมีอยู่มากในอินเดีย   อาหารที่ประกอบด้วยเนื้อหมูหรือเนื้อวัวจึงหากินยาก อาหารที่อยู่ในเมนูของภัตตาคาร และร้านอาหารในอินเดีย  คือ ไก่ กับ เนื้อแพะ   ส่วนเครื่องเทศนั้นเป็นยาดำแทรกอยู่ในอาหารอินเดียทุกจาน

แกงของอินเดีย   ใช้เครื่องเทศแห้ง  เช่น  มัสซาล่า – Masala (เครื่องเทศผสมมี หอม กระเทียม  ลูกผักชี  ขิง  พริกไทยเม็ด  อบเชย  ใบกระวาน  กานพลู และลูกจันทน์เทศ  ทุกอย่างป่นเป็นผงแล้วผสมเข้าด้วยกัน)  ไม่ใช้เครื่องแกงสด เช่น  ข่า  ตระไคร้  ผิวมะกรูด  เหมือนเครื่องแกงไทย ทั้งไม่ใส่ผักต่าง ๆ ลงในแกงนอกจากเนื้อสัตว์  เช่น  แกงปลา  แกงไก่  ก็ใส่แต่ปลา หรือ ไก่  ภาคใต้ของอินเดียใช้กะทิในการปรุงอาหาร ส่วนภาคเหนือใช้เนย น้ำแกงอินเดียค่อนข้างข้นเป็นสีเหลืองด้วยขมิ้น  หรือผงกะหรี่  หรือหญ้าฝรั่ง  อาหารจานเด่นของอินเดียมีหลายอย่าง  ที่คนไทยรู้จักและคุ้นเคยดีคือ ไก่ทานดูรี (Tandoori Chicken) เป็นไก่ที่หมักในเครื่องปรุงแล้วย่าง หรืออบในเตาดิน  กับแกงถั่ว (dal) อาหารจานเด่นอีกจานหนึ่ง คือ  ข้าวหมก  มีทั้งข้าวหมกแพะ และข้าวหมกไก่  Kebab  คือ เนื้อ (แพะ)  บดปั้นเป็นก้อนย่าง  เมืองที่อยู่ริมทะเล  เช่น Gao อดีตอาณานิคมของโปรตุเกสเป็นถิ่นชาวคริสต์ไม่มีข้อจำกัด เรื่องเนื้อหมูหรือเนื้อวัว  มีอาหารจานเด่นเป็นอาหารทะเล

อินเดียกินข้าวเป็นอาหารหลัก   แต่ข้าวของอินเดียเมล็ดใหญ่กว่า  ข้าวที่ดีและมีชื่อเสียงของอินเดีย คือ  ข้าวบัสมาตี  (basmati)  ซึ่งเป็นข้าวหอมเมล็ดยาวใหญ่กว่าข้าวหอมมะลิของไทยในท้องถิ่น  (ทางเหนือของประเทศ)  ที่ไม่มีการปลูกข้าว   ชาวอินเดียจะกินขนมปังชนิดต่าง ๆ    กับแกงนอกจากกินข้าว แล้วชาวอินเดียกินแป้งแผ่น  เช่น  โรตี  (Roti)  หรือ จาปาตี – chapati  (แป้งแผ่นทอด หรือจี่จนสุก)  และ นาน – nan (แป้งแผ่นหนากว่าจาปาตี  ปิ้งไฟในเตาทานดูรีจนแป้งข้างนอกพองกรอบ) กับแกงต่าง ๆ

ตามปกติแล้วคนอินเดียกินข้าวด้วยมือ   อาหารเสิร์ฟมาในถาดทองเหลืองใบใหญ่ กินข้าวรวมกันทั้งครอบครัว   ระหว่างรับประทานอาหารคนอินเดียไม่ดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มใด ๆ  พร้อมอาหาร  จะดื่มหลังจากกินอาหารเสร็จแล้วเท่านั้น  อาหารที่เป็นเหมือนเครื่องดื่มด้วย คือ  นมเปรียว  (Yoghurt)  ซึ่งในอินเดียเรียกว่า  ลัสซี่ – lassi  มีทั้งรสธรรมชาติ และชนิดปรุงรสด้วยเกลือ  นมเปรี้ยวของอินเดียมีประโยชน์มากในการช่วยย่อย และช่วยระบบขับถ่ายของเสียจากร่างกาย  หลังอาหารตามภัตตาคารของอินเดียจะมีเครื่องเทศที่เป็นเม็ดเล็ก ๆ มีกลิ่นหอมรสเย็นซ่า (anisese) ให้อมดับกลิ่นอาหาร และช่วยให้ลมหายใจหอม

"อินเดีย"ดินแดนแห่งความหลากหลายของศิลปวัฒนธรรมทั้งศาสนา ภาษา ปรัชญา นักคิดนักเขียน

คนอินเดียส่วนใหญ่เป็นมังสวิรัติ   ดังนั้นอาหารมังสวิรัติของอินเดียจึงมีชื่อเสียงไม่แพ้อาหาร จานที่ปรุงด้วยเนื้อสัตว์  อาหารมังสวิรัติของอินเดียหากินง่าย  อร่อย  และราคาถูก  ที่สำคัญ คือ ควรเลือกบริโภคในร้านที่เห็นว่าสะอาดเท่านั้น

สำหรับเครื่องดื่ม  ควรดื่มน้ำบรรจุขวด  หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ  ถ้าอยากชิมผลไม้อินเดียควรจะปอกกินเอง  โรคที่ควรระวัง คือ   โรคท้องเสีย  มาลาเรีย  โรคตับ Hepatitis  A , B , C  และ  D (ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่ติดต่อทางอาหาร และน้ำดื่ม การถ่ายโลหิต การมีเพศสัมพันธ์  ฯลฯ )  โรคไข้เลือดออก  โรคเอดส์  และกามโรคชนิดต่าง ๆ


ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10214128091257902&id=1281720771

แชร์