ยุคที่กุศลกรรมบถสูญสิ้นอกุศลกรรมบถรุ่งเรือง อายุขัยมนุษย์เฉลี่ยจะเหลือแค่ 10 ปี
ระหว่างมนุษย์มีอายุ 10 ปีนี้ กุศลกรรมบท 10 จักอันตรธานหายไปสิ้น และอกุศลกรรมบท10 จักถึงซึ่งความเจริญรุ่งเรืองเหลือเกิน แม้แต่ชื่อว่ากุศลก็จักไม่มีปรากฎอีกต่อไป http://winne.ws/n17703
พึงเห็นได้ว่า ในยุคปัจจุบันนี้มนุษย์มีอายุเฉลี่ยประมาณ 100 ปีเท่านั้น การที่จะได้เห็นคนที่มีอายุเกินกว่านี้ไปมาก ๆ พึงเห็นได้ยากเต็มที ในปฐมอายุสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสไว้ว่า
“อปฺปมิทํ ภิกฺขเว มนุสฺสานํ อายุ, คมนีโย, สมฺปราโย, กตฺตพฺพํ กุสลํ จริตพฺพํ พฺรหฺมจริยํ, นตฺถิ ชาตสฺส อมรณํ. โย ภิกขเว จิรํ ชีวติ. โส วสฺสสตํ อปฺปํ วา ภิยโยติ.”
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายุของมนุษย์ทั้งหลายนี้น้อยนัก จำต้องไปสู่สัมปรายภพควรทำกุศล ควรประพฤติพรหมจรรย์ สัตว์ผู้เกิดมาแล้วจะไม่ตายไม่มี ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนที่เป็นอยู่นาน ย่อมเป็นอยู่ได้เพียง 100 ปี หรือจะอยู่เกินไปบ้าง ก็มีน้อย.” (สํ.ส.15/145/130/)
จากเนื้อความในคัมภีร์พระสุตตันปิฎก สมัยพุทธกาล เราจะเห็นได้ว่า...
ยังมีภิกษุและบุคคลที่มีอายุมากเกินกว่า 100 ปี เช่น พระกุลเถระอายุ 160 ปี พระอนุรุทธเถระอายุ 150 ปี พระอานนท์ พระมหากัสสป วิสาขาอุบาสิกา โสณพราหมณ์ โปกรสาติพราหมณ์ล้วนมีอายุ 120 ปี เป็นต้น
ฉะนั้นในจูฬกัมมวิภังคสูตร พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า…
“ดูกรมาณพ สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์ทั้งหลายให้เลวและประณีตได้” (ม.อุ.14/581/323–328/)
เมื่อมนุษย์มีอายุได้ 10 ปีขณะนั้นเขาจักไม่มีจิตคิดเคารพยำเกรงว่า นี่แม่ นี่พ่อ นี่น้า นี่อา นี่ป้า นี่ภรรยาของอาจารย์ นี่ภรรยาของท่านที่เคารพทั้งหลาย สัตว์โลกจึงถึงความสู่สมปะปนกันหมด
เมื่อความเวียนว่ายในสังสารวัฏฏ์ยังปรากฎอยู่ มนุษย์ทำปาณาติบาต เป็นผู้มีนิสัยชอบเบียดเบียน ไม่ประกอบด้วยไมตรี มีใจเหี้ยมโหด ถือศัสตราเป็นเครื่องมือใช้ประหัตประหารเพราะการกระทำนั้น จัดเป็นกรรมที่เลว จึงเป็นเหตุให้มนุษย์มีอายุถึงซึ่งความถอยและลงสั้นลงมาตามลำดับ ดังในอรรถกถาสุภสูตรว่า…
“อปฺปายุกสํวตฺตนิกา เอสา มาณว ปฏิปทา ยทิทํ ปาณาติปาตี” ความว่า กรรมในการยังชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงนี้ใด นั้นปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีอายุสั้น.(องฺ.ทสก.23/263–265/)
ในกาลอันยืดยาวนานล่วงไปอายุของมนุษย์ถึงความถอยลงมาที่ 10 ปี เด็กหญิงมีอายุ 5 ปี จักเป็นสามีภรรยากัน ขาดความเคารพให้เกียติแก่กัน แม้แต่อาหารก็ปรากฎเปลี่ยนแปลงไปจากอาหารที่เคยกิน คือ เนยบใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เกลือ จักอันตรธานไปสิ้น ต่อมาอาหารที่ดีที่สุด คือ หญ้ากับแก้เท่านั้น เปรียบเหมือนข้าวสารีสุกระคนด้วยเนื้อเป็นอาหารอย่างดีในบัดนั้น
มนุษย์ทำปาณาติบาต เป็นผู้มีนิสัยชอบเบียดเบียน ไม่ประกอบด้วยไมตรี มีใจเหี้ยมโหด ถือศัสตราเป็นเครื่องมือใช้ประหัตประหารเพราะการกระทำนั้น จัดเป็นกรรมที่เลว
ระหว่างมนุษย์มีอายุ 10 ปีนี้ กุศลกรรมบท 10 จักอันตรธานหายไปสิ้น และอกุศลกรรมบท10 จักถึงซึ่งความเจริญรุ่งเรืองเหลือเกิน แม้แต่ชื่อว่ากุศลก็จักไม่มีปรากฎอีกต่อไป แล้วคนทำกุศลจักมีมาแต่ไหน คือ เมื่อมนุษย์อายุได้10 ปีนั้น จักไม่ปฏิบัติชอบในมารดาบิดา สมณะพราหมณ์ จักไม่ประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล เขาเหล่านั้นจักได้รับการบูชา และกาสรรเสริญจากคนทั้งหลาย เหมือนปฏิบัติชอบในมารดาบิดา สมณะ พราหมณ์ การประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล ในบัดนี้.
ในเมื่อมนุษย์มีอายุได้ 10 ปีขณะนั้นเขาจักไม่มีจิตคิดเคารพยำเกรงว่า นี่แม่ นี่พ่อ นี่น้า นี่อา นี่ป้า นี่ภรรยาของอาจารย์ นี่ภรรยาของท่านที่เคารพทั้งหลาย สัตว์โลกจึงถึงความสู่สมปะปนกันหมดเปรียบเหมือน แพะ ไก่ สุกร สุนักบ้าน สุนักจิ้งจอก ฉะนั้น ตอนนั้นสัตว์เหล่านี้ต่างก็จะเกิดความอาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดจะฆ่าอย่างแรงกล้าในกันและกัน มารดากับบุตรก็ดี บุตรกับมารดาก็ดี บิดากับบุตรก็ดี บุตรกับบิดาก็ดี พี่ชายกับน้องหญิงก็ดี น้องหญิงกับพี่ชายก็ดี จักเกิดความอาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดจะฆ่ากันอย่างแรงกล้า นายพรานเนื้อเห็นเนื้อเข้าเกิดความอาฆาต ความคิดร้าย ความคิดจะฆ่าอย่างแรงกล้าฉันใด ฉันนั้นเหมือนกัน”
ฉะนั้นจะเห็นว่าสภาพของมนุษย์ในพระสูตร เป็นผู้ตกอยู่ในอำนาจของโมหะ เพราะไม่เห็นแจ้งในพระสัจธรรม มีไฟ คือโมหะเผาผลาญอยู่ จึงไม่รู้จักแม้แต่พ่อ แม่ พี่ น้อง ครู อาจารย์ ซึ่งท่านผู้เหล่านี้มีคุณหาประมาณมิได้ เป็นยุคที่มนุษย์ไร้ศีลธรรม นำพาชีวิตไปสู่ความมีอายุสั้น ตราบใดเหล่าสัตว์มีความมืดบอดไม่เห็นศีลธรรม ตราบนั้นสัตว์ก็คงยังเวียนว่ายตายเกิดต่อไป ตลอดกาลอันยาวนานอยู่นั่นเอง.
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10213766627781541&id=1281720771
ภาพจากwww.goole.co.th