รู้ไหม ? การสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา มีความหมายอย่างไร ? เริ่มสวดมาตั้งแต่เมื่อไร ?

การสวดมนต์ในพระพุทธศาสนามีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เป็นการสวดในสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนไว้เพื่อไม่ให้ลืมในคำสอนนั้นๆ และทบทวนในสิ่งที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว เพราะในครั้งพุทธกาลยังไม่มีพระไตรปิฏก จึงต้องใช้การท่องจำ http://winne.ws/n13963

3.5 พัน ผู้เข้าชม
รู้ไหม ? การสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา มีความหมายอย่างไร ? เริ่มสวดมาตั้งแต่เมื่อไร ?ขอบคุณภาพจาก google.com

การสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา มีความหมายอย่างไร 

         การสวดมนต์ในพระพุทธศาสนามีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เป็นการสวดในสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนไว้เพื่อไม่ให้ลืมในคำสอนนั้นๆ และทบทวนในสิ่งที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว เพราะในครั้งพุทธกาลยังไม่มีพระไตรปิฏก จึงต้องใช้การท่องจำ หลังพุทธปรินิพพานมีการสังคายนาพระไตรปิฏกครั้งที่ 1 ก็ยังใช้การท่องจำสืบทอดต่อกันมา เรียกว่า "มุขปาฐะ"(หมายถึง การท่องด้วยปาก การกล่าวด้วยปาก การจดจำต่อเนื่องกันมาด้วยการสอนแบบปากต่อปาก) 

        ดังนั้น จึงมีการคัดเอาคำสอนที่สำคัญมาสวดสาธยายกันอย่างเนืองนิตย์ คำสอนสำคัญเหล่านี้จึงกลายเป็นบทสวดมนต์ในที่สุด  ในบางคราวพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอาพาธได้มีพระภิกษุมาสาธยายพุทธมนต์ให้พระพุทธองค์ฟัง เช่น บทโพชฌงค์ 7 ทำให้พระองค์อาการอาพาธทุเลาลง ฉะนั้นบทสวดมนต์จึงมีอานุภาพมาก  นับแต่นั้นมาทั้งพระภิกษุและฆราวาสก็สวดมนต์เรื่อยมาเพื่อเป็นการทบทวนคำสอนของพระพุทธเจ้า

รู้ไหม ? การสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา มีความหมายอย่างไร ? เริ่มสวดมาตั้งแต่เมื่อไร ?แหล่งภาพจาก พลังจิต

บทสวดมนต์และคาถามีความแตกต่างกันอย่างไร

       คำว่า "คาถา"  แปลว่า ร้อยกรอง คำสอนของพระพุทธเจ้ามีทั้งบท ร้อยแก้ว และ ร้อยกรอง 1 คาถา มี 2 บรรทัด 4 วรรค รวมกันเป็น 1 คาถา

       คำว่า "อาคม" แปลว่า พระสูตรในหลายๆ ครั้งเราจะได้ยิน  2 คำ นี้รวมกันเป็นคำว่า "คาถาอาคม"

       ในสมัยก่อนมีคาถาบทหนึ่งเอาไว้สวดให้ผู้หญิงที่คลอดยาก ชื่อว่า "คาถาพระปริตร" ที่มาของคาถานี้มาจาก "พระองคุลีมาล" ในครั้งนั้นท่านได้เดินไปเจอหญิงท้องแก่คนหนึ่ง ด้วยความกลัวหญิงท้องแก่นี้พยายามจะหนีเพราะกลัวพระองคุลีมาลจะทำร้ายตน (พระองคุลีมาลในตอนนี้ทรงบวชแล้ว) หญิงคนนี้ตั้งครรภ์มานานไม่ยอมคลอดได้รับความทรมานอย่างมาก เมื่อเป็นเช่นนั้น พระองคุลีมาลจึงเข้าไปโปรดด้วยการตั้งสัตยาธิษฐาน ว่า "ตั้งแต่ข้าพเจ้าออกบวชในสำนักของพระพุทธเจ้านี้ไม่เคยเลยที่จะปลงสัตว์จากชีวิตแม้ด้วยความคิดด้วยอานุภาพแห่งสัจวาจาขอความสวัสดีจงมีแด่น้องหญิงและทารกในครรภ์เทอญ"  

        สิ้นเสียงพระองคุลีมาลทารกในครรภ์ก็คลอดออกมาอย่างง่ายดายด้วยอานุภาพแห่งสัจวาจาของท่าน  นี้คือที่มาของ "คาถาทำคลอด" นั่นเอง (บทสวดมนต์ที่เราคุ้นเคยและได้ยินกันบ่อยนั่นก็คือ บทสวดมนต์ทำวัตร เช้า - เย็น, บทสวดพระปริตร บทให้พรของพระก็ถือว่าคาถาอย่างหนึ่งเช่นกัน) 

รู้ไหม ? การสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา มีความหมายอย่างไร ? เริ่มสวดมาตั้งแต่เมื่อไร ?แหล่งภาพจาก Littlesweett.com

การสวดมนต์แบบเข้าใจความหมายกับไม่เข้าใจความหมาย อานิสงฆ์ที่ได้แตกต่างกันหรือไม่ และจะช่วยกันสืบต่อวัฒนธรรมนี้ต่อไปอย่างไร

          ภาษาบาลี มี สระ คือ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ แค่ 8 ตัว ไม่เยอะเหมือนภาษาไทย เพราะฉะนั้นเวลาผสมเสียงออกมาจากในตัวได้ดี เพราะฉะนั้นเราสวดมนต์แม้จะไม่รู้ความหมายก็มีประโยชน์ รู้โดยรวมว่าเป็นการสวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย สวดเพื่อตอกย้ำความเลื่อมใสศรัทธาในพระรัตนตรัย ซึ่งเป็นประโยชน์มาก การมีศรัทธาเป็นยอดทรัพย์ เมื่อมีศรัทธาในพระรัตนตรัยจะทำให้เรามีโอกาสสร้างบุญกุศลอื่นๆ อีกมากมาย  เหมือนดังในอดีตมีพระภิกษุท่านสาธยายพุทธมนต์ มีค้างคาวฟังอยู่แต่ค้างคาวไม่รู้เรื่องว่าพระสวดอะไร แต่ฟังภาษาบาลีฟังแล้วสบายใจเลื่อมใสในเสียงสวดมนต์ที่ไม่รู้แม้แต่น้อย จดจ่อกับเสียงสวดมนต์เมื่อตายได้ไปเกิดเป็นเทวดา จากสัตว์เดรัจฉานไม่ได้เกิดเป็นคนแต่ไปเป็นเทวดา

          เพราะฉะนั้นแค่การฟังเสียงสวดมนต์โดยไม่รู้ความหมายแท้จริงยังมีบุญขนาดนี้ แต่เราเป็นคนรู้เรื่องมากกว่าค้างคาว รู้ว่ากำลังสรรเสริญพระรัตนตรัยอยู่ ยิ่งถ้าได้สวดมนต์เองยิ่งกว่าการฟังบุญยิ่งเกิด และควรหาเวลาสวด หนังสือสวดมนต์มีคำแปลบอกแต่ไม่ต้องสวดบาลีคำไทยคำเพราะระบบไวยากรณ์ จะทำให้มีสมาธิ(Meditation)มากกว่าหลังจากสวดเป็นภาษาบาลีจึงมาดูคำแปลทีหลังจะดีกว่า การสวดมนต์ถือเป็นการภาวนาอย่างหนึ่ง เราสวดมนต์ไปทำสมาธิไปด้วย ถ้าตั้งใจจริงสามารถบรรลุธรรมได้ใจจดจ่อนิ่งทำให้เข้าถึงธรรมได้ แต่ถ้ายังไม่บรรลุธรรมการสวดมนต์ช่วยเคลียร์ใจให้นิ่งระดับหนึ่ง เป็นพื้นฐานอย่างดีต่อการทำสมาธิ

          เพราะฉะนั้น โดยทั่วไปจะสวดมนต์ก่อนการนั่งสมาธิ ใจก็สบายถึงเวลานั่งสมาธิจึงนั่งได้ดี การสวดมนต์ให้ประโยชน์ทุกสถานแม้ไม่รู้ความหมายฟังสวดมนต์ก็ได้บุญ สวดมนต์เองบุญยิ่งเยอะ รู้ความหมายด้วยบุญยิ่งทับทวี รู้ความหมายด้วยทำสมาธิไปด้วยบุญมหาศาลถูกต้องตามหลักวิชา 

รู้ไหม ? การสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา มีความหมายอย่างไร ? เริ่มสวดมาตั้งแต่เมื่อไร ?แหล่งภาพจาก www.dhammajak.net

การสวดมนต์ควรสวดทุกวันหรือไม่ เป็นหน้าที่ที่เราต้องปฏิบัติหรือเป็นหน้าที่ของพระภิกษุสงฆ์         

          การสวดมนต์เป็นหน้าที่ของชาวพุทธทุกคน ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น เดิมแล้วเนื้อหาแต่ละท้องถิ่นมีหลากหลาย ระลึกนึกถึงพระรัตนตรัยหรือสวดมนต์ในบทที่แตกต่างกันไป ก่อนที่รัชกาลที่ 4 ขึ้นครองราชย์พระองค์ทรงออกผนวชอยู่ 20 กว่าพรรษาและมีพระปัญญามาก พระองค์จึงวางรูปแบบการทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็นทั้งประเทศให้เป็นแบบแผนเดียวกัน รูปแบบการสวดมนต์ การอาราธนาศีล พิธีกรรมสงฆ์ต่างๆ เช่น การถวายสังฆทาน การเจริญพระพุทธมนต์ สวด 7 ตำนาน 12 ตำนาน เป็นต้น ก็ปรับเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อความเป็นเอกภาพของพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นให้รู้ว่า มิใช่หน้าที่ของพระภิกษุเท่านั้น ชาวพุทธทุกคนอย่างน้อยทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น ใช้เวลาไม่มากและเป็นประโยชน์ต่อเรา 

ที่มา http://www.kalyanamitra.org/th/article_detail.php?i=5435

แชร์