บทสวดยันทุนฯ (อภยปริตร): จากเคยอ่านพบ.. สู่ความเป็นจริงในชีวิต 

อดีตนานมาแล้ว เมื่ออายุประมาณ ๑๕ -๑๖ ปี
ผมเคยได้อ่าน เรื่องเล่า ของคุณครูท่านหนึ่ง (จำไม่ได้ว่าหญิง /ชาย สถานศึกษาใด) ท่านเล่าว่า ท่านสวดบทยันทุนฯ ก่อนนอนเป็นประจำ หากวันใด ไม่ได้สวด เมื่อฝันร้าย ก็จะสวดบทยันทุนฯ เมื่อรู้สึกตัวตื่น

สรุปว่า วันนั้น คุณครูท่านนั้น ไม่ได้สวดบทยันทุนฯ พอตกบ่าย ก็ได้รับโทรเลข จากทางบ้านว่า คุณพ่อเสียแล้ว ให้กลับบ้านด่วน เท่าที่จำได้มีแค่นี้ ดูไม่ใช่เรื่อง ที่จะคิดอะไรมาก..

แต่โบราณว่า ถ้าฝันว่า ฟันโยกคลอนหรือหัก หมายถึง จะต้องมีเหตุการณ์ร้ายบางอย่าง แก่ผู้ที่รู้จัก หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง คือ ถ้าฟันโยกก็ป่วย ถ้าฟันหักก็ตาย ขึ้นอยู่กับว่า จะฝันในวันใด ปัจจุบันไม่นานมา

ปกติก่อนนอน ผมจึงสวดบทยันทุนฯ เป็นประจำทุกวัน ในปัจจุบัน หรือเมื่อฝันร้าย หรือเจอสิ่งอัปมงคล ก็จะสวดบทนี้ เป็นประจำ ถือว่า เป็นการแก้ไข ด้วยพุทธมนต์ ตามหลักพระพุทธศาสนา โดยจะกล่าวให้อานุภาพ ของพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ช่วยขจัดปัดเปล่า สิ่งชั่วร้าย ที่เกิด

รวมทั้ง ไม่ได้ไปร่วมงาน พระราชทานเพลิงศพ พระศรีวิสุทธิโมลี (ชุบ มหาวีโร ป.ธ.๙) ที่คุ้นเคยและเคารพท่าน และเพื่อนรัก ผอ. บุญสืบ อินสาร ป.ธ.๙ ศษ.บ. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติด้วย เพราะต้องขอดูแลพระพรหมของผมก่อน..

ที่ยกมาไม่ใช่เรื่องหลักที่ผมจะพูด เรื่องหลักคือ ให้ท่านได้เห็นอานุภาพของพระปริตร บทเดียว ที่ใช้แก้ไขสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ได้บ้าง คือ อานุภาพของบทยันทุนฯ

บทยันทุนฯ เรียกเต็มว่า อภยปริตร ใช้สวดก่อนนอน หรือสวดเวลาฝันไม่ดี พบสิ่งที่ไม่ดี เสียงที่เป็นอัปมงคล เช่น นกแสกร้องที่บ้าน จิ้งจกตุ๊กแกร้อง เวลาที่เราจะอออกจากบ้าน

บทสวดนี้ไม่ยาวครับ มีดังนี้

คาถายันทุนฯ (อภยปริตร - คาถาแก้เคล็ดฝันร้าย)
ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ
โยจามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท
ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง
พุทธานุภาเวนะ วินาสะเมนตุฯ

ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ
โยจามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท
ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง
ธัมมานุภาเวนะ วินาสะเมนตุฯ

ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ
โยจามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท
ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง
สังฆานุภาเวนะ วินาสะเมนตุฯ

หรือจะสวดแบบสรุปก็ได้ เพราะทั้งสามตอนเหมือนกัน เปลี่ยนแค่คำว่า พุทธานุภาเวนะ ธัมมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ เท่านั้น จึงสวดแบบรวมดังนี้

ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ
โยจามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท
ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง
พุทธานุภาเวนะ ธัมมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ จะ วินาสะเมนตุฯ

คำแปล
(นิมิตอันเป็นลางชั่วร้ายอันใด สิ่งอวมงคลอันใด
เสียงนกที่ไม่ชอบใจอันใด สิ่งที่น่าตกใจอันใด
บาปร้าย เคราะห์ร้ายอันใด ฝันร้ายอันใด สิ่งไม่พึงปรารถนาอันใด ที่มีอยู่
ขอสิ่งเหล่านั้นจงถึงความพินาศไป ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์)

ส่วนการฝันวันใด จะหมายถึงใคร โบราณว่าไว้ดังนี้

ฝันคืนวันอาทิตย์ หมายถึง คนที่เรารู้จัก จะเป็นใครก็ได้
ฝันคืนวันจันทร์ หมายถึง วงศ์ญาติของท่าน
ท่านฝันคืนวันอังคาร หมายถึง พ่อแม่พี่น้องของท่านเอง
ฝันคืนวันพุธ หมายถึง บุตรและภรรยาหรือสามีของท่าน
ฝันคืนวันพฤหัสบดี หมายถึง ครู อาจารย์ และมิตรสหายของท่าน
ฝันคืนวันศุกร์ หมายถึง สัตว์เลี้ยงของท่าน
ฝันคืนวันเสาร์ หมายถึง ตัวท่านเอง

ตามนี้ ว่าตามตำราไปก่อน

ขอบคุณภาพจาก campus.sanook.com

เวลาที่ฝัน

ฝันเวลาหัวคํ่า หรือเวลาสองยาม เป็นฝันที่ไม่อาจเป็นจริงก็ได้ เพราะว่าท้องไส้ไม่ปกติ ทำให้ความฝันวุ่น จิตใจวุ่น แต่ถ้าหลับสนิทบางทีก็จริง
ฝันเวลายามสี่ (ตีสี่) เป็นความฝันที่เป็นจริง ตามที่ท่านฝันดีหรือฝันร้าย (ถ้าท่านฝันร้ายแก้ฝันกับแม่พระคงคา สระผม อาบนํ้า ล้างหน้าทันทีที่ตื่นนอน ฝันร้ายก็จะกลายเป็นดี )
ฝันเวลากลางวัน ไม่จำเป็นต้องเชื่อฝันกลางวัน (ความฝันที่นิยมถือเป็นความจริงได้ ต้องฝันเวลากลางคืนไม่มีแสงอาทิตย์)

เท่าที่ผู้ทำนายฝันสังเกต กับการทำนายฝัน พบว่า ความฝันในช่วงเวลา ตี ๓.๓๐ ถึงตี ๕.๓๐ น. เป็นความฝันที่เป็นความจริง เพราะความฝันในช่วงเวลานี้ เทพ เทวดา เจ้าที่ เจ้าทาง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือญาติ พี่น้อง วิญญาณต่างๆ ที่ถูกควบคุมมาเพื่อบอกกล่าว มักจะมาเข้าฝันในเวลานี้ เหตุนี้เป็นประสบการณ์จริงของผู้ทำนายฝันเองที่เห็นมาตลอดการทำนายฝัน

สาเหตุความฝันตามตำราโบราณ มี

         ๑. หากความฝันเกิดเพราะธาตุไม่ปกติ (ธาตุพิการ) ความฝันแบบนี้ เป็นเพราะกายไม่ปกติ ใจไม่ปกติ กายใจของผู้ฝันจึงมีอันเกิดขึ้นมา ซึ่งโดยมากเป็นความฝันร้าย เป็นฝันไม่ค่อยดีเท่าไร จะทำให้เป็นทุกข์ เกิดความกังวล ความฝันแบบนี้ไม่ค่อยน่าเชื่อถือ จึงไม่ต้องใช้หลักทำนายฝัน หากใช้ทำนายฝันก็จะไม่ค่อยได้ผลนัก (เรียกว่า ธาตุกำเริบ)
         ๒. หากความฝันเกิด เพราะมีอารมณ์จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ความฝันอย่างนี้ เป็นเพราะอารมณ์จิตใจของผู้ฝัน ได้ผูกพันกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่อย่างมากตลอดเวลา เมื่อหลับไปก็เกิดความฝันในสิ่งนั้น ในเรื่องนั้น ที่ผู้ฝันฝักใฝ่อยู่ หรือได้พบเห็นแล้วจดจำโดยไม่มีวันลืม ความฝันแบบนี้ไม่ค่อยน่าเชื่อถือ จึงไม่ต้องใช้หลักทำนายฝัน หากใช้ทำนายฝันก็ไม่ค่อยได้ผลนัก (เรียกว่า จิตอาวรณ์ หรือ ฟุ้งซ่าน)
        ๓. หากความฝันเกิด ขึ้นเพราะเทวดาบันดาล ความฝันเช่นนี้ เป็นเพราะเทวดาผู้ปกปักรักษาคุ้มครองธรรมะ ได้ดลบันดาลให้ผู้ฝันเกิดความฝันไป เพื่อสำแดงแจ้งเหตุการณ์ล่วงหน้า โดยเฉพาะเรื่องมงคล แต่ถ้าเป็นฝันร้าย เรื่องร้ายก็เป็นเหมือนการตักเตือนผู้ฝัน ให้ระวังภัยและป้องกัน ความฝันแบบนี้น่าเชื่อถือ ควรใช้หลักการทำนายฝัน มีความแม่นยำมากในการทำนายฝัน (เรียกว่า เทพสังหรณ์)

        ๔. หากความฝันเกิดขึ้น เพราะอำนาจจิตของผู้ฝันเอง ซึ่งจะเป็นกุศลจิต หรืออกุศลจิตก็ตาม เพื่อบอกเหตุดี หรือเหตุร้ายล่วงหน้า ที่จะเกิดขึ้นในกาลข้างหน้า ฝันลักษณะแบบนี้มักมาจากจิตใต้สำนัก ความฝันนี้น่าเชื่อถือ ในระดับปานกลาง สามารถใช้หลักทำนายฝันได้ ความแม่นยำอยู่ในระดับปานกลาง (เรียกว่า บุพพนิมิต)

พิศาฬเมธ แช่มโสภา นักวิชาการอิสระ

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1619833791649771&id=100008694968507