มุทิตาสักการะ คืออะไร ปฏิบัติอย่างไรให้ได้อานิสงส์มาก...?
คนที่ทำให้จิตเกิดมุทิตาได้จึงเป็นบุคคลพิเศษที่ยกระดับจิตใจ ให้สูงกว่าคนธรรมดาสามัญได้แล้ว เป็นคนเปิดใจกว้าง ยอมรับความดีของผู้อื่น และพร้อมเสมอที่จะแสดงความชื่นชมยินดีด้วย เมื่อผู้อื่นได้ดี มุทิตาจินเป็น “พรหมธรรม” หรือ “พรหมวิหารธรรม” http://winne.ws/n19644
“มุทิตา” หมายถึงความเป็นผู้มีใจชื่นชมยินดีในเมื่อผู้อื่นได้ดีหรือได้รับความสำเร็จอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นอาการที่เกิดขึ้นในใจเองโดยมิได้บังคับ เกิดขึ้นเพราะจิตใจปราศจากความอิจฉาริษยา เกิดขึ้นเพราะเป็นผู้มีปกติยอมรับในผลสำเร็จหรือความดีของคนอื่น เพราะฉะนั้นจึงเรียกเป็นคำเต็มได้ว่า “มุทิตาจิต”
คุณธรรมข้อนี้มิใช่ว่าจะเกิดขึ้นง่าย ๆ หรือเกิดขึ้นแก่ทุกคนไม่ เพราะปกติธรรมดาคนทั่วไปมักจะไม่ค่อยยอมรับในความดีของผู้อื่น มักจะไม่ค่อยชื่นชอบนักหากผู้อื่นได้ดีเกินหน้า โดยเฉพาะในคนที่ไม่ชอบหน้ากันอยู่แล้ว มุทิตาจิตจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ดังนั้นคนที่ทำให้จิตเกิดมุทิตาได้จึงเป็นบุคคลพิเศษที่ยกระดับจิตใจ ให้สูงกว่าคนธรรมดาสามัญได้แล้ว เป็นคนเปิดใจกว้าง ยอมรับความดีของผู้อื่น และพร้อมเสมอที่จะแสดงความชื่นชมยินดีด้วย เมื่อผู้อื่นได้ดี ผู้ทำได้ ดังนี้ท่านว่าเป็นผู้ยกระดับจิตใจถึงขั้นระดับเป็นพระพรหมทีเดียว เพราะมุทิตาจิตนั้นเป็น “พรหมธรรม” หรือ “พรหมวิหารธรรม” ข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมของผู้เป็นพรหมของผู้ใหญ่ผู้ประเสริฐแล้ว จึงกล่าวได้ว่ามุทิตานี้เกิดได้ยากนักยากหนา ที่เกิดได้ง่าย ๆ นั้นเพราะเขาฝึกไว้ดีแล้วต่างหาก
การแสดงออกซึ่งมุทิตาจิตนั้นมิใช่หมายเพียงการนำสักการะไปถวาย การนำกระเช้าดอกไม้ไปให้ การเลี้ยงกันหรือการกล่าวอวยพรกันเท่านั้น เพราะการแสดงเช่นนั้นเป็นเพยงจุดหมายที่ให้รู้ว่ามีมุทิตา แท้ที่จริงมุทิตานั้นจะต้องเริ่มต้นเกิดที่จิตใจก่อน เมื่อจิตใจเกิดมุทิตาแล้วก็เป็นอันใช้ได้ส่วนจะแสดงต่อด้วยการกระทำหรือด้วยคำพูดเช่นนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แม้หากว่าจะแสดงกันอย่างนั้น แต่ก็ทำไปด้วยความจำเป็นตามมารยาทสังคมแบบเสียไม่ได้ หรือถูกบังคับให้ทำโดยที่โจทย์มิได้ยินดีด้วยเลย การแสดงออกเช่นนั้นก็หาจัดว่าเป็นการแสดงมุทิตาจิตไม่ เพราะใจไม่ได้เกิดมุทิตาด้วยเลย
อีกประการหนึ่ง จิตใจที่จะเปี่ยมด้วยมุทิตานั้นจะต้องกำจัดอารมณ์ในใจอันหนึ่งคือ “อรติ” ให้ได้เด็ดขาดด้วย อรตินั้นคือความไม่พอใจเพราะเกิดความอิจฉาริษยา เกิดความไม่ยินดี อรตินี้เป็นศัตรูต่อมุทิตาโดยตรงจึงต้องกำจัดให้ได้เด็ดขาด จึงจะเป็นมุทิตาจิตที่บริสุทธิ์ ดังนั้นจึงกล่าวว่า มุทิตาจิตเป็นจิตระดับสูงถึงขั้นเป็นจิตของพระพรหมดังกล่าวข้างต้น
แท้จริง อรติ ความไม่พอใจ ความอิจฉาริษยานี้มันเป็นกิเลสบังคับใจบังปัญญาและบังความรู้สึกผิดชอบชั่วดี บังความควรไม่ควรไว้หมด ทำให้คนมองไม่เห็นความดีของใคร ทำให้ชมใครไม่เป็นสรรเสริญใครไม่ได้ ทำให้คนมองกันในแง่ดีไม่ได้ ซ้ำยังกระตุ้นให้คนคิดทำลายลางความดีของผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา เห็นใครดีเกินหน้าไม่ได้จะต้องคิดทำลายล้าง ลบหลู่ความดีของผู้อื่นให้หมดเสียร่ำไป ดังพระท่านว่า
“อรติ โลกนาสิกา ความริษยาเป็นตัวทำลายโลก”
คนที่มีความริษยาจึงชอบหงุดหงิดไม่พอใจอะไรง่าย ๆ รู้ได้โดยกิริยาท่าทาง คือถ้าเห็นคนอื่นได้ดีไม่ว่าคนนั้นจะเป็นพี่ เป็นน้อง เป็นเพื่อน หรือเป็นผู้ร่วมงานก็ตามก็จะเกิดความหงุดหงิดใจ เกิดความงุ่นง่าน ไม่สบอารมณ์อยู่ตลอดเวลา ถ้าอยู่คนเดียวก็จะพลุ่งพล่านนั่งนอนไม่ติดที่ หากมีโอกาสก็จะระบายอารมณ์เสียนั้น ในทางทำลายคุณความดีของผู้ได้ดีคนนั้น เช่น พูดจาถากถางบ้าง พูดจาประชดประชันบ้าง เยาะเย้ยบ้าง กระแนะกระแหนบ้าง ทำท่าค้อนควักบ้าง แล้วแต่โอกาสและสถานที่จะอำนวย
นี่แหละคืออำนาจของความริษยาซึ่งเป็นตัวทำลายโลกดังพระท่านว่า
วิธีกำจัดก็คือ ต้องสร้างมุทิตาจิตให้เกิดขึ้นแทนที่โดยการค่อย ๆ มองหาความดีของคนอื่น แม้จะมีเพียงน้อยนิดก็ยังดีหาให้พบกลบความไม่ดีของเขาเสียอย่าไปพูดถึง แล้วหัดชมคนอื่นเป็นเสียบ้าง ก็เอาส่วนดีแม้น้อยนิดที่พบนั่นแหละมาชมกัน แม้ตอนแรก ๆ จะฝืนใจชมบ้างก็พยายามทำ นาน ๆ เข้าก็จะเกิดความเคยชินและชมได้มาก ๆ เมื่อชมเป็นแล้วก็แสดงความยินดีในความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ ของผู้อื่น เริ่มต้นจากคนในครอบครัวก่อนก็ได้ยินดีต่อน้อง ๆ ที่สอบได้ ยินดีต่อพี่ ๆ ที่ได้งานทำ ขยายวงกว้างออกไปจนถึงเพื่อน ๆ ต่อไปถึงผู้ร่วมงาน อย่างนี้แหละไม่นานมุทิตาก็จะเกิดเต็มจิต ความหงุดหงิดงุ่นง่านเพราะเกิดความรู้สึกอิจฉาริษยาก็จะหมดไป
มุทิตาจิต เป็นยาวิเศษที่ทำให้คนเรายิ้มแย้มเข้าหากัน คบกันโดยสนิทใจ เป็นโซ่ทองที่คล้องใจกันไว้ได้นานเท่านาน ตรงกันข้ามกับความริษยา ซึ่งเป็นศาสตราที่คอยบั่นทอนมิตรภาพอยู่ร่ำไป และเป็นตัวทำลายทุกอย่างในโลก ฉะนี้แล
มุทิตาสักการะ มีความหมายว่าอย่างไร ?
(๑) มุทิตา
มุทิตา บาลีเขียน “มุทิตา” (มุ-ทิ-ตา) เหมือนกัน มีความหมาย 2 นัย คือ -
(1) มาจาก มุทฺ (มุ-ทะ, ธาตุ = ยินดี, เบิกบาน) + อิ + ต ปัจจัย = มุทิต > มุทิตา หมายถึง ชื่นชม, ยินดี, พอใจ (pleased, glad, satisfied)
มุทิตา ถ้าเป็นคุณศัพท์ มีความหมายว่า มีใจชื่นชม, มีใจปราโมทย์, ดีใจ (with gladdened heart, pleased in mind)
(2) มาจาก มุทุ (อ่อนโยน) + ตา ปัจจัย = มุทุตา > มุทิตา หมายถึง ความมีใจอ่อน, ความกรุณา, ความเห็นอกเห็นใจ (soft-heartedness, kindliness, sympathy)
ความหมายตามนัยนี้ ในทางปฏิบัติก็คือ ใครจะสุขหรือจะทุกข์ ก็รู้สึกเป็นพวกเดียวกัน ถ้าสุขก็พลอยยินดี ถ้าทุกข์ก็พลอยเดือดร้อนใจไปด้วย
(๒) สักการะ
บาลีเขียน “สกฺการ” (สัก-กา-ระ) รากศัพท์มาจาก ส (> สกฺกจฺจํ = เคารพ) + กรฺ (ธาตุ = ทำ) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ, ซ้อน ก, ยืดเสียง อ ที่ ก- เป็น อา
: ส + ก + กรฺ = สกฺกร + ณ = สกฺกร > สกฺการ แปลตามศัพท์ว่า “อาการที่ทำด้วยความเคารพ” ใช้ในความหมายว่า การต้อนรับ, การให้เกียรติ, การเคารพสักการะ (hospitality, honour, worship)
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า -
(1) มุทิตา : (คำนาม) ความมีจิตพลอยยินดีในลาภยศสรรเสริญสุขของผู้อื่น เป็นข้อ ๑ ในพรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา. (ป.).
(2) สักการ-, สักการะ : (คำกริยา) บูชาด้วยสิ่งหรือเครื่องอันพึงบูชา เช่น ดอกไม้ ธูป เทียน, บางทีก็ใช้เข้าคู่กับคำ บูชา เป็น สักการบูชา. (ป.; ส. สตฺการ).
คำที่พูดว่า “ไปถวายมุทิตาสักการะ” ความหมายตามภาษาธรรมดาก็คือ ไปแสดงความยินดี นั่นเอง
ในการไปแสดงความยินดีแก่พระสงฆ์ในโอกาสดังกล่าวข้างต้นนั้น มีผู้วางหลักในการใช้คำว่า “มุทิตา” กับ “สักการะ” ไว้ดังนี้ -
(1) “มุทิตา” ใช้กับกรณีที่ผู้ไปแสดงความยินดีมีอาวุโสกว่าคือเป็นผู้ใหญ่กว่าผู้รับการแสดงความยินดี (สอดคล้องกับมุทิตาในพรหมวิหารธรรมซึ่งนิยมว่าเป็นหลักธรรมที่ผู้ใหญ่ปฏิบัติต่อผู้น้อย)
(2) “สักการะ” ใช้กับกรณีที่ผู้รับการแสดงความยินดีมีอาวุโสกว่าผู้ไปแสดงความยินดี
สรุปว่า:
- ผู้ใหญ่แสดงมุทิตาต่อผู้น้อยได้ แต่จะเรียกว่า “สักการะ” ไม่ได้
- ผู้น้อยสักการะผู้ใหญ่ได้ แต่จะเรียกว่า “แสดงมุทิตา” ไม่เหมาะ
หลักการนี้ท่านผู้ใดจะกำหนดมาตั้งแต่เมื่อไรก็ตาม นับว่าเป็นหลักที่มีเหตุผลควรแก่การพิจารณา
มุทิตาสักการะที่มีศักดิ์ศรี : ไม่ใช่ทำตามหน้าที่ แต่ออกมาจากหัวใจ
เรียบเรียงโดย ปัญญสโก ภิกขุ
อ่านเพิ่มได้ที่: http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=16252.0;wap2