ทำไมพระมรณภาพแล้วไปเกิดเป็น‘เล็น’เฝ้าจีวร 7 วัน..เรื่องจริงสมัยพุทธกาล
กฎแห่งกรรมไม่ได้เว้นว่าคนนั้นจะเป็นใคร มียศฐาบรรดาศักดิ์มากน้อยขนาดไหนก็ตาม กฎแห่งกรรมจะทำหน้าที่ของมันเท่าเทียมกันหมด รวมถึงพระสงฆ์ต่างๆ ด้วย หากใครคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว ก็ย่อมได้รับผลของกรรมเช่นเดียวกันทั้งนั้น http://winne.ws/n19388
ในอดีตนานมาแล้ว มีกุลบุตรชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่ง ได้บวชเป็นพระ ชื่อว่า พระติสสเถระ จำพรรษา ณ วิหารในชนบท มีโยมที่ศรัทธานำผ้าเนื้อหยาบยาวประมาณ ๘ ศอก มาถวายท่าน หลังจากที่ท่านได้อยู่จำพรรษาตลอดสามเดือนและได้ปวารณาออกพรรษาแล้ว ก็นำผ้านั้นไปหาพี่สาว พี่สาวเห็นผ้าแล้วก็คิดว่า “ผ้าผืนนี้ ไม่สมควรแก่พระน้องชายเราเลย” แล้วก็ได้ใช้มีดตัดจีวร เป็นชิ้นน้อยชิ้นใหญ่ โขลกในครก แล้วสาง ดีด กรอ ปั่นให้เป็นด้ายละเอียด จากนั้นก็ทอเป็นผ้าหมือนเดิม
วันหนึ่งพระเถระก็ได้เตรียมด้ายและเข็มมาเพื่อจะใช้ผ้านั้นตัดเย็บจีวร ได้นิมนต์ภิกษุและสามเณรผู้ทำจีวรเป็นให้มารวมกัน แล้วพาไปบ้านพี่สาว ฝ่ายพี่สาวได้นำผ้ายาวประมาณ ๙ ศอกที่ทอขึ้นใหม่ ออกมาถวาย พระผู้เป็นน้องชายรับมาพิจารณาแล้วกล่าวว่า “ผ้าของเดิมเนื้อหยาบ ยาว ประมาณ ๘ ศอก แต่ผืนนี้เนื้อละเอียด และยาวประมาณ ๙ ศอก ผ้านี้มิใช่ผ้าของอาตมา นี่เป็นผ้าของพี่ อาตมาไม่ต้องการผ้าผืนนี้”
พี่สาวกล่าวว่า “ท่านผู้เจริญ นี่เป็นผ้าผืนเดิมของท่านเอง ขอท่านจงรับผ้านี้เถิด” แล้วจึงได้บอกเล่าถึงสิ่งที่ตนทำทั้งหมด พระเถระจึงยอมรับผ้าผืนนั้นกลับไป เพื่อจะเริ่มตัดเย็บทำเป็นจีวร
พี่สาวของท่านได้จัดเตรียมอาหารคาวหวานทั้งหลาย ไปถวายพระภิกษุสามเณรที่ช่วยทำจีวรของพระน้องชายเป็นประจำ จนกระทั่งในวันที่ตัดเย็บจีวรเสร็จเรียบร้อยแล้ว พี่สาวได้ถวายสักการะมากมายแก่พระภิกษุสามเณร ฝ่ายพระน้องชายที่ชื่อติสสะ เมื่อมองดูจีวรแล้วก็เกิด ความเยื่อใยในจีวรนั้น จึงคิดว่า
“ในวันพรุ่งนี้ เราจะห่มจีวรผืนนี้” แล้วพับจีวรพาดไว้
ตกกลางคืนพระติสสะเกิดอาหารไม่ย่อยอย่างไม่คาดคิด จนเป็นเหตุให้ท่านมรณภาพในคืนนั้น เมื่อท่าน ตายแล้วก็ไปเกิดเป็นเล็นเกาะอยู่ที่จีวร เพราะความที่ท่าน ยึดติดในจีวรผืนนั้นก่อนตายนั่นเอง!!
รุ่งเช้าเมื่อพี่สาวทราบข่าวการมรณภาพของพระน้อง ชาย ก็เศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง นอนกลิ้งเกลือกต่อ หน้าพระภิกษุสามเณร บรรดาพระภิกษุสามเณรที่อยู่ในวัดก็ช่วยกันจัดแจงศพของท่านเป็นอย่างดี หลังจากเผาแล้วก็ปรึกษากันว่า จีวรของท่านติสสะเถระ ควรจะตกเป็นของสงฆ์ เพราะไม่มีใครเป็นผู้อุปัฏฐากท่านโดยตรง ว่าแล้วก็นำจีวรผืนนั้นออกมา เพื่อเตรียมแบ่งกัน
ทันทีที่จีวรถูกคลี่ออก เล็นตัวหนึ่งซึ่งเกาะอยู่ที่จีวรก็เที่ยววิ่งร้องไปข้างโน้นข้างนี้ ด้วยคิดว่าพวกภิกษุเหล่านี้จะแย่งจีวรของเรา
พระพุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่ในพระคันธกุฏี ได้ยินเสียงเล็นด้วยโสตธาตุอันเป็นทิพย์ (หูทิพย์) จึงตรัสสั่งพระอานนท์ให้ไปบอกพวกภิกษุว่า อย่าเพิ่งแบ่งจีวรของติสสะในตอนนี้ เก็บรอไว้ให้ครบ ๗ วันก่อนค่อยแจกจ่าย พระอานนท์จึงไปดำเนินการตามคำสั่ง ซึ่งพระทุกรูปก็ได้ทำ ตามที่พระอานนท์บอก
เมื่อถึงวันที่ ๗ เล็นก็ได้ตายลง และไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต เพราะคุณความดีที่เคยทำไว้นั่นเอง ในวันที่ ๘ พระพุทธเจ้าจึงรับสั่งให้แจกจีวรของพระติสสเถระ
อย่างไรก็ตามพวกภิกษุทั้งหลายก็ยังไม่เข้าใจว่า ทำไมพระพุทธเจ้าจึงต้องให้เก็บจีวรของพระติสสะไว้ถึง ๗ วัน จึงได้สนทนากันเกี่ยวกับเรื่องนี้ในธรรมสภา
พระพุทธองค์ทรงได้ยินเรื่องที่พวกภิกษุสนทนากัน จึงเสด็จมาและตรัสบอกเรื่องที่กำลังสงสัยกันว่า
“ท่านทั้งหลาย พระติสสเถระ หลังจากตายแล้วได้ไปเกิดเป็นเล็นที่จีวรของตน ตอนที่พวกท่านจะแบ่งจีวรกันนั้น เล็นได้วิ่งร้องไปข้างโน้นและข้างนี้ว่า “ภิกษุพวก นี้แย่งจีวรของเรา” ถ้าหากว่าพวกท่านแบ่งจีวรกันในวัน นั้น เล็นจะเกิดความขัดใจ เกิดความโกรธต่อพวกท่าน หลังจากเล็นตายแล้วจะไปเกิดในนรก เหตุนี้เองเราจึง ให้เก็บจีวรไว้ก่อน ๗ วัน ในวันสุดท้ายเล็นได้ตายจากไป และขณะนี้เขาก็ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว เพราะเหตุนั้น เราจึงอนุญาตให้พวกท่านถือเอาจีวรของพระ ติสสเถระในวันที่ ๘”
บรรดาภิกษุได้ฟังเช่นนั้นแล้วก็เกิดความอัศจรรย์ใจในพระปัญญาญาณของพระพุทธองค์เป็นยิ่งนัก พวกภิกษุเหล่านั้นได้กราบทูลว่า “ขึ้นชื่อว่าตัณหานี้หยาบหนอ”
พระองค์จึงตรัสว่า “อย่างนั้นภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าตัณหาของสัตว์เหล่านี้หยาบ สนิมตั้งขึ้นแต่เหล็ก ย่อมกัดเหล็กนั่นเอง สนิมนั้นแหละย่อมทำให้เหล็กพินาศไป ทำให้เป็นของใช้สอยไม่ได้ ฉันใด ตัณหานี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เกิดขึ้นภายในใจของสัตว์เหล่านี้แล้ว ย่อมทำให้สัตว์เหล่านั้นเกิดในอบายมีนรกเป็นต้น ทำให้สัตว์เหล่านี้ถึงความพินาศ”
และได้ตรัสอธิบายว่า “สนิมเกิดขึ้นแต่เหล็ก ตั้งขึ้นแต่เหล็ก ย่อมกัดเหล็กนั่นเอง ฉันใด กรรมทั้งหลายของ ตน คือกรรมเหล่านั้นชื่อว่าเป็นของตนนั่นแหละ เพราะตั้งขึ้นในตนย่อมนำบุคคลผู้ไม่พิจารณาปัจจัย ๔ แล้ว บริโภค ชื่อว่าผู้ประพฤติก้าวล่วงปัญญา ชื่อว่าโธนา ไปสู่ทุคติฉันนั้นเหมือนกัน” หลังจากที่พระองค์เทศนาจบแล้ว ผู้ฟังจำนวนมากก็ได้บรรลุอริยผล มีโสดาปัตติผล เป็นต้น
อ่านต่อได้ที่: https://sites.google.com/site/thrrmsthanwicanthlo/home/kt-haeng-krrm/hetu-thi-keid-pen-len-fea-ciwr