เรื่องจริง"ไฟไหนจะร้อนเท่าไฟนรก" เรื่องเล่าจากท่านสมภารตง วัดพุทธาราม
ด.ช.ตง ไม่อยากทำอาชีพฆ่าหมูขายแบบพ่อ จึงหนีไปบวชสามเณร และตั้งใจฝึกฝนอบรมตนเองอย่างดีตลอดมา จนได้บวชเป็นพระ พ่อก็จ้างคนไปจับสึก แต่ก็รอดมาได้ แต่เพราะใบหน้าหวาน ๆ ของหญิงลูกสาวนายอำเภอ..จนทำให้สมภารตง.. http://winne.ws/n19076
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของหมู ยามที่มันถูกฆ่านั้น ช่างบาดลึกเข้าไปในจิตใจของอาตงทุกครั้งที่ได้ยิน เด็กชายวัยสิบสามไม่เข้าใจเลยว่า เหตุใดบิดาจึงมายึดอาชีพที่แสนจะทารุณโหดร้ายเช่นนี้ แม้จะได้ยินมาตั้งแต่เกิด เพราะตาแป๊ะเตี๋ยวยึดอาชีพขายหมูชนิดเลี้ยงเองฆ่าเองเสร็จ หากเขาก็หดหู่หม่นหมองใจทุกครั้งที่ได้ยินเสียงมันร้องเหมือนจะขอให้ไว้ชีวิต เด็กชายเคยฟังพวกผู้ใหญ่เขาพูดกันว่า คนที่ฆ่าสัตว์เมื่อตายไปจะต้องตกนรก เขาไม่อยากให้ผู้บังเกิดเกล้าตกนรก เพราะเคยเห็นภาพของนรกที่มีผู้วาดไว้ตามผนังโบสถ์มาแล้ว มันช่างน่าเกลียดน่ากลัวเสียเหลือเกิน นับแต่มารดาจากโลกนี้ไปตั้งแต่ปี ๒๔๖๐ เขาก็เหลือบิดาเพียงผู้เดียว ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีก
"อั๊วะไม่เคยบวกให้คาย แต่อาตง อาตงลูกอั๊วะอีหนีไปบวก อีมาขออั๊วะแต่อั๊วะไม่ให้ อีเลยหนีไปบวกตั้งแต่อายุสิกสาม เหลียวนี้อีอายุสามสิกสองเลี้ยว" แกบอกล่าว "อ้อ.. อย่างนี้นี่เอง เห็นไหมล่ะ ขนาดเจ้าไม่มีศรัทธาปสาทะที่จะให้ลูกบวช ก็ยังได้รับอานิสงส์ถึงเพียงนี้ นี่แสดงว่าลูกของเจ้าต้องเจริญกรรมฐานแล้วอุทิศมาให้เจ้า ถึงได้มีปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เพื่อเห็นแก่ลูกของเจ้า
ข้าจะให้โอกาสแก่เจ้าได้กลับไปแก้ตัวยังโลกมนุษย์อีกครั้ง เจ้าจะต้องเลิกฆ่าหมู เลิกด่าพระด่าเจ้า แล้วก็ต้องถือศีล ๘ อยู่ที่วัด รับใช้พระเณร โดยเฉพาะพระลูกชายของเจ้า เพื่อไถ่บาปที่เจ้าได้เคยล่วงเกินท่านไว้ เจ้าทำได้ไหม ถ้าได้ก็ไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก" "ทำล่าย ทำล่าย" ตาแป๊ะรีบรับคำ จะให้แกทำอะไรแกยอมทั้งนั้น ขออย่างเดียวอย่าให้มาตกนรกอีก แกเข็ดขยาดไฟนรกเสียยิ่งกว่าอะไร "จำไว้นะ หากเจ้าผิดสัญญาจะต้องกลับมารับโทษยังสถานที่แห่งนี้และเราก็จะไม่อภัยให้เจ้าอีกเลย" พญายมราชกล่าวสำทับ "จำล่าย จำล่าย อั๊วะไม่ผิกสังยา เข็กเลี้ยว เข็กจริง ๆ" แกรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ "เอาละ เจ้าสองคนพาตาแป๊ะไปส่งที่เดิมได้" พญายมราชหันไปสั่งยมทูตทั้งสอง
ตาแป๊ะเตี๋ยว เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับแกจบลง ทุกคนในที่นั้นพากันนิ่งเงียบราวกับถูกมนต์สะกด เป็นเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน พวกที่ประพฤติตนไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมเริ่มได้ข้อคิด โดยเฉพาะพวกผู้ชายซึ่งคิดว่าจะเลิกดื่มเหล้าเลิกเจ้าชู้เสียที จะได้ไม่ต้องไปตกนรก "ท่างตง ท่างต้องช่วยเตี่ยนะ" ถ้าท่างสึกเตี่ยต้องไปตกนาลกแหง ๆ" ผู้เป็นพ่อวิงวอน สมภารหนุ่มหันไปสบตากับสาวสายทอง ในอกของท่านราวกับมีภูเขาทั้งลูกทับเอาไว้ อยากสึกนั้นอยากจนตัวสั่น หากก็เกรงบิดาจะต้องกลับไปตกนรก รักสาวก็รัก รักบิดาก็รัก ใจของท่านปั่นป่วนด้วยมิรู้จะตัดสินใจอย่างไร นายอำเภอซึ่งรับฟังเรื่องราวมาตลอด สังเกตเห็นท่าทางลังเลของท่านแล้ว ให้รู้สึกสงสารเป็นกำลัง แต่ก็มิอาจพูดอะไรในตอนนี้ได้ อุตส่าห์รอจนคนอื่น ๆ ค่อยทยอยกันกลับหมดแล้วจึงพูดกับสมภารหนุ่มว่า
"นิมนต์ท่านบวชต่อเถิดครับ ไม่ต้องห่วงทางลูกสาวผม ความกตัญญูย่อมสำคัญกว่าความรัก คิดว่าผมตัดสินใจแทนท่านก็แล้วกัน" คำพูดของนายอำเภอทำให้สมภารตงได้คิด จริงดังที่นายอำเภอพูด ถ้าท่านไม่แต่งงานกับสายทอง หล่อนก็ยังมีโอกาสที่จะแต่งกับชายอื่นได้ แต่บิดาของท่านนั้นไม่มีผู้ใดจะช่วยได้นอกจากท่าน สบายใจขึ้นบ้างแล้ว จึงกล่าวกับนายอำเภอว่า "ขอบคุณท่านนายอำเภอมาก อาตมายอมรับว่าตัดสินใจไม่ถูก เมื่อท่านได้กรุณาช่วยแนะนำอาตมาก็ยินดี ว่าแต่ว่า สีกาจะมีความคิดเห็นเป็นประการใด" ท่านหันไปถามสาวสายทอง รู้สึกปวดแปลบที่หัวใจราวกับถูกทิ่มแทงด้วยหนามแหลมสักร้อยอันพันอัน แสนเสียดายดวงหน้างดงามที่ท่านไม่มีโอกาสได้เชยชมแม้สักครั้งในชีวิต "ดิฉันเห็นด้วยกับคุณพ่อเจ้าค่ะ" หญิงสาวตอบด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างกับสมภารหนุ่มเท่าใดนัก
ด้วยว่า รักแรกพบต้องมามีอันเป็นไป ต่อเมื่อได้ไตร่ตรองใคร่ครวญดีแล้ว ก็เห็นชอบด้วยเหตุผลตามที่บิดากล่าวทุกประการ ท่านไม่สึกก็ยังดีกว่าที่สึกแล้วไปแต่งงานกับหญิงอื่น ซึ่งหากเป็นประการหลังหล่อนคงต้องฆ่าตัวตายเป็นแน่แท้ พูดธุระกันเสร็จแล้ว นายอำเภอจึงลากลับพร้อมด้วยบุตรสาว นางสาวสายทองจากมาด้วยหัวใจรันทด ชาตินี้เห็นจะต้องอยู่เป็นโสดไปจนตาย จะรักชายใดได้อีกในเมื่อหัวใจทุกห้องได้มอบให้สมภารหนุ่มไปสิ้นแล้ว เมื่อแขกชุดสุดท้ายลงจากศาลาไป สมภารตงจึงเชิญบิดาให้ไปพักยังกุฏิของท่าน ตาแป๊ะเตี๋ยวได้กำลังใจจากลูกชาย อาการป่วยก็หายเป็นปลิดทิ้ง เรี่ยวแรงกลับคืนมาดังเดิม แกเดินตามพระลูกชายต้อย ๆ พิษสงของไฟนรกที่แกเพิ่งประสบมา ประกอบกับภาพที่สัตว์นรกถูกทรมานทรกรรมยังติดตรึงเด่นชัดอยู่ในห้วงสำนึก แกขอยึดพระลูกชายเป็นสรณะและจะไม่ขอกลับไปยังที่แห่งนั้นอีก
เดชะบุญที่เขาเชื่อในเรื่องราวที่แกเล่า เกิดเขาคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระและยังยืนยันที่จะสึก แกคงไม่อาจทัดทานได้ แล้วก็คงต้องกลับไปตกนรกอีก ดังที่พญายมราชภาคทัณฑ์ไว้ เป็นครั้งแรกที่ตะแป๊ะรู้สึกซาบซึ้งในความกตัญญูของลูกที่มีต่อแก เขามิได้เป็นลูกเนรคุณตามที่แกปักใจเชื่อมาแต่ต้น
ข้างฝ่ายสมภารตงนั้นก็มิได้เคลือบแคลงสงสัยในสิ่งที่บิดาเล่าเลยแม้แต่น้อย ท่านกลับยินดีปรีดาที่อำนาจบุญกุศลที่ท่านประพฤติปฏิบัติได้ส่งผล ให้บิดารอดพ้นจากไฟนรก และกลับมาแก้ตัวอีกครั้ง อย่างน้อยก็ทำให้บิดาและคนผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์คืนนี้ได้รู้และเชื่ออย่างแน่นแฟ้นว่า บาปบุญมีจริง นรกสวรรค์มีจริง มิใช่เรื่องที่เอาไว้หลอกคนโง่ดังพวกมิจฉาทิฐิเชื่อกัน ท่านนึกลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบิดา ช่วงเวลาที่พญายมราชสอบสวนบิดาคงเป็นเวลาเดียวกับที่ท่านปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน และเมื่อท่านแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลไปให้ก็อยู่ในช่วงที่บิดากำลังถูกไฟนรกแผดเผา บุญกุศลนั้นจึงปรากฏออกมาในรูปของกาสาวพัสตร์มาดับไฟนรก
อานิสงส์แห่งวิปัสสนากรรมฐานช่างมากมายน่าอัศจรรย์ใจนัก แล้วท่านก็นึกถึงถ้อยคำที่คนบางกอกพูดถากถางพระเณรที่บวชแล้วไม่ปฏิบัติกรรมฐานว่า "เช้าเอน เพลนอน เย็นพักผ่อน ค่ำจำวัด" ซึ่งคนประเภทนี้บวชเสียข้าวสุก แล้วก็ไม่ได้อานิสงส์อะไร และอย่าว่าแต่จะช่วยพ่อแม่ให้พ้นจากนรกไม่ได้เลย แม้ตัวของตัวเองก็ยังช่วยไม่ได้
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ตาแป๊ะเตี๋ยวก็มาถือศีลกินเพลอยู่ที่วัดกับพระลูกชาย ความกลัวจะกลับไปตกนรกอีกทำให้แกปฏิบัติตามสัญญาอย่างเคร่งครัด ตราบจนกระทั่งถึงแก่กรรมเมื่อเวลาล่วงไปอีกสิบปี สมภารตงก็เป็นเจ้าอาวาสวัดพุทธาราม จนกระทั่งมรณภาพเมื่ออายุได้ ๘๐ ปี รวมเวลาที่ดำรงอยู่ในสมณเพศถึง ๖๗ พรรษา
ส่วนนางสาวสายทองนั้น ในเวลาต่อมาได้ติดตามบิดาไปอยู่ทางภาคอีสาน และได้สมรสกับปลัดอำเภอผู้หนึ่งซึ่งหล่อนมิได้รักใคร่ หากก็ยอมแต่งงานเพราะเห็นแก่บิดาที่ปรารถนาจะเห็นบุตรสาวคนเดียวเป็นฝั่งเป็นฝา ด้วยแรงกตัญญูกตเวทิตาธรรมที่นางสาวสายทองมีต่อบิดาผู้บังเกิดเกล้า ทำให้ชีวิตการแต่งงานของหล่อนดำเนินไปโดยราบรื่น หล่อนยังจำได้ว่า ครั้งหนึ่งสมภารตงหยิบยกพุทธวจนะมากล่าวให้หล่อนฟัง "อโถ เปตฺเตยฺยตา สุขา - การเคารพรักบำรุงบิดา นำมาซึ่งความสุขในโลก"
อ่านเพิ่มเติมได้ที่: https://th.wikibooks.org/wiki/หนังสือ_ไฟไหนจะร้อนเท่าไฟนรก