หมอเล่าให้ฟัง เรื่อง กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
รู้ได้อย่างไรว่าเป็นกะเพาะปัสสาวะอักเสบ สาเหตุ อาการ ภาวะแทรกซ้อน วิธีรักษา วิธีป้องกัน โรคปัสสาวะอักเสบ http://winne.ws/n11542
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis, Lower Urinary tract infection) เป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายหลายเท่าเนื่องจากท่อปัสสาวะของผู้หญิงจะสั้นและอยู่ใกล้ทวารหนักซึ่งเป็นแหล่งที่มีเชื้อโรคมากเชื้อโรคจากบริเวณดังกล่าวจึงเข้าทางท่อปัสสาวะของผู้หญิงได้ง่ายกว่าผู้ชาย โรคนี้สามารถป้องกันและรักษาได้ง่าย ๆแต่ถ้าไม่ได้รับการรักษา เชื้อโรคอาจลุกลามขึ้นไปที่ไตทำให้เป็นกรวยไตอักเสบและถ้าปล่อยให้เป็นเรื้อรังก็อาจทำให้เกิดภาวะไตวายเรื้อรังแทรกซ้อนซึ่งยากแก่การเยียวยารักษาได้ ความเสี่ยงในผู้หญิงแทบทุกคนมีโอกาสเป็นโรคนี้ในทุกช่วงของชีวิตมากกว่าผู้ชายนับตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยสูงอายุ (พบได้สูงในช่วงอายุ 20-50 ปี)พบได้มากในผู้หญิงที่ชอบกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน ๆ หรือในหญิงตั้งครรภ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์ส่วนในผู้ชายนั้นมีโอกาสเป็นโรคนี้น้อยมาก เนื่องจากมีสรีระที่ยากต่อการติดเชื้อถ้าพบว่าเป็นก็มักจะมีความผิดปกติอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น เนื้องอกกระเพาะปัสสาวะก้อนเนื้องอกในช่องท้อง ต่อมลูกหมากโตหรือมีความผิดปกติทางโครงสร้างของทางเดินปัสสาวะ
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบพบได้ทั้งจากการอักเสบเฉียบพลันที่มีอาการเกิดขึ้นทันทีและรักษาหายได้ภายใน 2-3 สัปดาห์ หรือจากการอักเสบเรื้อรังซึ่งผู้ป่วยมักมีอาการอักเสบเรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆแต่จะมีอาการรุนแรงน้อยกว่าการอักเสบเฉียบพลัน
สาเหตุของกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียกลุ่มแกรมลบที่มีอยู่ในอุจจาระของคนเราเช่น อีโคไล (E.coli), เคล็บซิลลา (Klebsiella), สูโดโมแนส (Pseudomonas), เอนเทอโรแบกเตอร์ (Enterobacter) เป็นต้น (แต่ส่วนใหญ่แล้วประมาณ 75-95%เกิดจากเชื้ออีโคไล) ซึ่งเชื้อเหล่านี้จะมีอยู่มากที่บริเวณรอบ ๆ ทวารหนักเนื่องมาจากการชำระหลังถ่ายอุจจาระไม่ถูกต้องสมบูรณ์เชื้อโรคจึงปนเปื้อนผ่านเข้าท่อปัสสาวะ เข้ามาในกระเพาะปัสสาวะโดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิงที่ปกติท่อปัสสาวะจะสั้นและอยู่ใกล้กับทวารหนักจึงง่ายที่เชื้อโรคจะปนเปื้อนเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ
ส่วนในผู้ชายจะมีโอกาสติดเชื้อได้น้อยมากเนื่องจากมีท่อปัสสาวะยาวและอยู่ห่างจากทวารหนักมากอีกทั้งเมื่อเชื้อโรคเข้าไปอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ ถ้ามีการถ่ายปัสสาวะทุกครั้งที่รู้สึกปวดก็จะสามารถขับเอาเชื้อโรคนั้นออกมาได้จึงไม่ทำให้เกิดการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะ แต่ในกรณีที่กลั้นปัสสาวะนาน ๆ เช่นรถติดหรือเดินทางไปต่างจังหวัด(ไม่มีห้องน้ำให้เข้าหรือกลัวการใช้ห้องน้ำสาธารณะที่ไม่สะอาด)หรือหน้าน้ำท่วมที่ไม่กล้าเข้าห้องน้ำเพราะกลัวสัตว์มีพิษหรือนอนกลางคืนแล้วขี้เกียจลุกไปเข้าห้องน้ำ หรือทำอะไรเพลิน ๆ จนลืมเข้าห้องน้ำเป็นต้นเชื้อโรคที่เข้าไปในกระเพาะปัสสาวะจึงมีเวลานานพอที่จะแบ่งตัวเจริญแพร่พันธุ์จนทำให้เกิดการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะ เกิดอาการขัดเบาขึ้นมาได้ ด้วยเหตุนี้ โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบจึงมักพบได้ในผู้หญิงทั่วไปที่ไม่ระมัดระวังการชำระล้างทวารหนักและชอบกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานานๆ ในผู้หญิงที่แต่งงานใหม่หรือหลังร่วมเพศอาจมีอาการขัดเบาแบบกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ เรียกว่า“โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบจากฮันนีมูน” (Honeymoon cystitis) ซึ่งมีสาเหตุมาจากการฟกช้ำจากการร่วมเพศแล้วทำให้มีอาการอักเสบของท่อปัสสาวะ
ปัจจัยเสี่ยงของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
ในบางคนยังอาจมีเหตุชักนำให้เกิดโรคนี้ได้มากกว่าทั่วไป(จัดเป็นกลุ่มเสี่ยง) เช่น
-ผู้หญิงด้วยเหตุผลทางด้านสรีระดังที่กล่าวมา
-ผู้สูงอายุ เพราะมีสุขอนามัยบริเวณอวัยวะเพศไม่ดีนักโดยเฉพาะผู้ที่ขาดคนดูแล นอกจากนั้นผู้สูงอายุมักไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกายมักนั่ง ๆ นอน ๆ เป็นเวลานาน และดื่มน้ำน้อย ปัสสาวะจึงแช่ค้างอยู่นาน ทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดี
-ผู้ที่ชอบกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานานเชื้อโรคที่เข้าไปในกระเพาะปัสสาวะจึงมีเวลานานพอที่จะแบ่งตัวเจริญแพร่พันธุ์
-ผู้ที่ดื่มน้ำน้อย มีผลให้ไม่ค่อยได้ปัสสาวะปัสสาวะจึงแช่ค้างอยู่นาน ทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดี
-ผู้ป่วยเบาหวาน ซึ่งร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรคต่ำจะมีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายก็อาจเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้บ่อยถ้าหากพบว่ามีอาการของโรคนี้เกิดขึ้นซ้ำซากก็ควรตรวจดูด้วยว่าเป็นโรคเบาหวานซ่อนเร้นที่ไม่แสดงอาการอยู่ด้วยหรือไม่
-ผู้ป่วยที่มีภาวะอุดกั้นของทางเดินปัสสาวะ เช่น ต่อมลูกหมากโต (ในผู้สูงอายุ), ท่อปัสสาวะตีบ, นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ, มะเร็งต่อมลูกหมาก, เนื้องอกกระเพาะปัสสาวะ, ก้อนเนื้องอกในช่องท้อง, เนื้องอกมดลูก, มีความผิดปกติทางโครงสร้างของทางเดินปัสสาวะ, ถ่ายปัสสาวะไม่ได้เนื่องจากเป็นอัมพาตเป็นต้น
-ผู้ป่วยที่เป็นโรคติดเชื้อของไต โรคนิ่ว นิ่วในไต
-ผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรังของท่อปัสสาวะ เช่น โรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (เชนโรคหนองในแท้ โรคหนองในเทียม) ซึ่งมักมีปัสสาวะแช่ค้างในกระเพาะปัสสาวะเชื้อโรคจึงเจริญเติบโตได้เร็ว
-ผู้ป่วยที่เป็นโรคที่ต้องนั่งๆ นอน ๆ ตลอดเวลา เช่น โรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์/อัมพาตซึ่งส่งผลให้ปัสสาวะแช่ค้างอยู่นาน
-ผู้ป่วยที่มีการสวนปัสสาวะ หรือมีการคาสายสวนปัสสาวะนาน ๆหรือใช้เครื่องมือแพทย์สอดใส่ท่อปัสสาวะ เช่น ผู้ป่วยหลังผ่าตัดหรือผู้ป่วยอัมพฤกษ์อัมพาตเพราะกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะเกิดการบาดเจ็บจากสายสวน จึงทำให้ติดเชื้อได้ง่ายรวมทั้งอาจติดเชื้อจากเชื้อที่ตัวสายสวนปัสสาวะเองด้วย
-สตรีตั้งครรภ์จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ได้มากขึ้นเนื่องจากศีรษะของทารกในท้องกดดันให้เกิดการคั่งของปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะทำให้ปัสสาวะไม่หมด เกิดปัสสาวะแช่ค้างในกระเพาะปัสสาวะ จึงก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย
-ผู้หญิงที่คุมกำเนิดด้วยยาฆ่าอสุจิ (Spermicide) หรือการใช้ฝาครอบปากมดลูก (Diaphragm) เพราะเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองและการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อปากท่อปัสสาวะและปากช่องคลอดส่งผลให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
-การใช้สเปรย์ดับกลิ่นบริเวณอวัยวะเพศในผู้หญิงเพราะจะก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อปากท่อปัสสาวะและปากช่องคลอดจึงเป็นการเพิ่มโอกาสการบาดเจ็บและการติดเชื้อของเนื้อเยื่อ
-การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในผู้ชาย มักพบร่วมกับนิ่วในกระเพาะปัสสาวะหรือต่อมลูกหมากโต หรือจากการคาสายสวนปัสสาวะ
อาการของกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
ผู้ป่วยจะมีอาการขัดเบาคือ ถ่ายปัสสาวะกะปริดกระปรอย (ออกมาทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง)รู้สึกปวดขัดหรือแสบร้อนเวลาถ่ายปัสสาวะ โดยเฉพาะตอนถ่ายปัสสาวะสุดมักต้องเข้าห้องน้ำทุกชั่วโมงหรือชั่วโมงละหลายครั้ง มีอาการคล้ายถ่ายปัสสาวะไม่สุดอยู่ตลอดเวลาผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดที่ท้องน้อยหรือบริเวณหัวหน่าวร่วมด้วยปัสสาวะอาจมีกลิ่นเหม็น สีมักใส แต่บางรายปัสสาวะอาจมีสีขุ่นหรือมีเลือดปนมักไม่มีไข้ (ยกเว้นถ้ามีกรวยไตอักเสบร่วมด้วย ผู้ป่วยจะมีไข้สูง หนาวสั่นปัสสาวะสีขุ่น และมีอาการปวดเอวร่วมด้วย) ส่วนในเด็กเล็กอาจมีอาการปัสสาวะรดที่นอนและอาจมีไข้ เบื่ออาหาร อาเจียนร่วมด้วยโดยอาการมักเกิดขึ้นหลังกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน ๆ มีการสวนปัสสาวะหรือหลังจากการร่วมเพศ
ภาวะแทรกซ้อนของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
ส่วนมากโรคนี้มักจะไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงแต่ในผู้ป่วยบางรายอาจเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง ซึ่งถ้าไม่ได้รับการรักษาเชื้อโรคอาจลุกลามขึ้นไปที่ไตทำให้เป็นกรวยไตอักเสบและถ้าปล่อยให้เป็นเรื้อรังก็อาจทำให้เกิดภาวะไตวายเรื้อรังแทรกซ้อนได้ส่วนในผู้ชายเชื้ออาจลุกลามเข้าไปทำให้ต่อมลูกหมากอักเสบ นอกจากนี้ เมื่อการอักเสบติดเชื้อรุนแรงอาจลุกลามเป็นการอักเสบติดเชื้อในกระแสเลือดจนเป็นเหตุทำให้เสียชีวิตได้
การวินิจฉัยโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
แพทย์มักวินิจฉัยโรคนี้ได้จากอาการที่แสดงคือ อาการขัดเบา ถ่ายปัสสาวะกะปริดกระปรอย โดยไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วยส่วนในรายที่มีอาการแยกจากสาเหตุอื่นไม่ชัดเจน หรือเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรังอาจมีการตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติมด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยและดุลยพินิจของแพทย์เช่น การตรวจปัสสาวะ(ถ้าเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบจะพบปริมาณเม็ดเลือดขาวในปัสสาวะมากกว่าปกติ)นำปัสสาวะไปเพาะหาเชื้อซึ่งจะพบเชื้อที่เป็นต้นเหตุ การตรวจเลือดการส่องกล้องตรวจกระเพาะปัสสาวะ (Cystoscopy)
ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้มักตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติที่ชัดเจนบางรายอาจมีอาการกดเจ็บเล็กน้อยตรงกลางท้องน้อย
ในเด็กเล็กที่มีอาการปัสสาวะรดที่นอนบ่อย ๆหรือมีไข้ และอาเจียนโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรนึกถึงโรคนี้ไว้เสมอซึ่งการตรวจปัสสาวะจะช่วยให้วินิจฉัยโรคได้แน่ชัด
กระเพาะปัสสาวะอักเสบเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของอาการขัดเบา แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีโรคอื่น ๆอีกหลายชนิดที่อาจมีอาการแสดงคล้ายกับโรคนี้หากสงสัยควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยให้แน่ชัดและรับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ เช่น
-นิ่วในกระเพาะปัสสาวะซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการขัดเบาร่วมกับการถ่ายปัสสาวะเป็นเลือด
-กรวยไตอักเสบผู้ป่วยจะมีไข้สูง หนาวสั่น ปัสสาวะขุ่นข้น ปวดเจ็บตรงสีข้างหรือเอวด้านใดด้านหนึ่งและอาจมีอาการขัดเบา ถ้ามีกระเพาะอักเสบร่วมด้วย
-เบาหวานผู้ป่วยจะมีอาการถ่ายปัสสาวะออกมาทีละมาก ๆ ปัสสาวะมีสีใส ไม่มีอาการแสบขัดที่สำคัญจะมีอาการกระหายน้ำและหิวข้าวบ่อย อาจมีอาการอ่อนเพลีย น้ำหนักลดร่วมด้วยซึ่งอาการเหล่านี้จะไม่พบในคนที่เป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
-โรคหนองใน(Gonorrhea) ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการหนองไหลออกจากท่อปัสสาวะหรือมีตกขาวออกมาเป็นหนองร่วมกับถ่ายปัสสาวะแสบขัด
ปัสสาวะบ่อยมีหลายสาเหตุ
ในคนปกติถ้าดื่มน้ำวันละ8-10 แก้ว (1,500-2,000 ซี.ซี.) จะปัสสาวะประมาณวันละ 3-5 ครั้ง และหลังเข้านอนจะไม่ตื่นมาปัสสาวะเลยแต่อาการปัสสาวะบ่อย ๆ (มากกว่า 5 ครั้งต่อวัน)อย่าเข้าใจว่าเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเพียงอย่างเดียวเพราะอาจมีสาเหตุดังต่อไปนี้
1.ไตขับปัสสาวะมากกว่าปกติจากสาเหตุต่างๆ เช่น ดื่มน้ำมาก, รับประทานยาขับปัสสาวะเนื่องจากเป็นโรคหัวใจหรือความดันโลหิตสูงโรคเบาหวาน ซึ่งส่งผลให้ปัสสาวะที่มากักเก็บในกระเพาะปัสสาวะเต็มเร็วจึงปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ (มากกว่า 5 ครั้งต่อวัน) และอาจต้องตื่นมาปัสสาวะหลังเข้านอนแล้วประมาณไม่เกิน2 ครั้ง ที่สำคัญผู้ป่วยจะมีปริมาณปัสสาวะแต่ละครั้งเท่าคนปกติ (ประมาณ 350-500ซี.ซี.) เมื่อตรวจปัสสาวะจะไม่พบการติดเชื้อแต่อย่างใด
2.มีความผิดปกติที่กระเพาะปัสสาวะทำให้ไม่สามารถกักเก็บปัสสาวะได้นาน ปวดปัสสาวะเร็ว บางคนอาจปัสสาวะทุก 1-2ชั่วโมง ที่สำคัญคือจะปวดปัสสาวะหลังนอนหลับแล้วตอนดึกก่อนถึงเช้าทุก ๆ คืนมากกว่า2 ครั้ง ครั้งละน้อยกว่าปกติ (ไม่ถึง 300 ซี.ซี.) เช่น
3.กระเพาะปัสสาวะเล็กขยายไม่ได้เนื่องมาจากถูกฉายแสงรักษามะเร็งปากมดลูก เป็นวัณโรคกระเพาะปัสสาวะทำให้ผนังกระเพาะปัสสาวะชั้นกล้ามเนื้อขยายเพื่อเก็บปัสสาวะมากไม่ได้หรือมีเนื้องอกขนาดใหญ่ในมดลูก หรือหญิงตั้งครรภ์มากกว่า 6 เดือนมดลูกจึงกดกระเพาะปัสสาวะ ทำให้เก็บปัสสาวะไม่ได้และปัสสาวะบ่อย ๆ
4.มีสิ่งแปลกปลอมในกระเพาะปัสสาวะเช่น ก้อนนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ เนื้องอกขนาดใหญ่ ซึ่งอาจทำให้ปัสสาวะบ่อย
5.ประสาทควบคุมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะผิดปกติทำให้ผนังกล้ามเนื้อทำงานบีบตัวบ่อยจำเป็นต้องตรวจการทำงานของกระเพาะปัสสาวะด้วยเครื่องมือพิเศษเพื่อตรวจการบีบตัวของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ
6.มีความผิดปกติทางจิตใจเช่น มีความเครียดจากการทำงาน มีปัญหาครอบครัว กลัวโรคภัยไข้เจ็บซึ่งผู้ป่วยส่วนมากจะปัสสาวะบ่อยในช่วงกลางวันหรือหัวค่ำเมื่อหลับแล้วจะไม่ตื่นมาปัสสาวะอีก เนื่องจากไม่มีความผิดปกติของกระเพาะปัสสาวะ
วิธีรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ การดูแลตนเองในเบื้องต้นเมื่อเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบผู้ป่วยควรปฏิบัติดังนี้
1.ควรดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ ประมาณวันละ 3-4 ลิตร เมื่อไม่มีโรคที่ต้องจำกัดน้ำดื่ม (เช่น โรคหัวใจล้มเหลว)ซึ่งการดื่มน้ำจะช่วยขับเชื้อโรคออกและลดอาการปวดแสบปวดร้อนเวลาปัสสาวะได้
2.ควรถ่ายปัสสาวะทุกครั้งที่รู้สึกปวดไม่กลั้นปัสสาวะ
3.หลีกเลี่ยงสารอาหารที่ระคายเคืองต่อกระเพาะปัสสาวะเช่น กาแฟ แอลกอฮอล์ น้ำอัดลม น้ำผลไม้ใส่น้ำตาล
4.พยายามเคลื่อนไหวร่างกายเสมอไม่ควรนั่งแช่อยู่กับที่เป็นเวลานาน ๆ
5.การทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศหรือภายหลังการขับถ่าย(ในผู้หญิง) ต้องทำจากด้านหน้าไปด้านหลังเสมอ เพื่อป้องกันเชื้อโรคปนเปื้อนผ่านเข้าท่อปัสสาวะเข้ามาในกระเพาะปัสสาวะ
6.ในผู้หญิงไม่ควรใช้วิธีคุมกำเนิดด้วยการใช้ยาฆ่าอสุจิหรือการใช้ฝาครอบปากมดลูกเพราะเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองและการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อปากท่อปัสสาวะและปากช่องคลอดส่งผลให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
7.ไม่ควรใช้สเปรย์หรือยาดับกลิ่นตัวในบริเวณอวัยวะเพศเพราะอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อปากท่อปัสสาวะและปากช่องคลอดซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสเกิดการบาดเจ็บและการติดเชื้อของเนื้อเยื่อ
8.หลีกเลี่ยงการอาบน้ำในอ่างเพราะอาจเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
9.ควรรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน(สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง และลดโอกาสการติดเชื้อรุนแรง
10.ผู้ป่วยไม่ควรซื้อยามารับประทานเองเพราะอาจทำให้ได้ยาที่ไม่ตรงกับชนิดของเชื้อโรคหรือขนาดและระยะเวลาในการใช้ยาไม่ถูกต้อง จึงอาจส่งผลให้โรคไม่หาย และอาจกลายเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรังจากเชื้อดื้อยาได้
การรักษาในขณะที่มีอาการ ให้ดื่มน้ำมาก ๆถ้าปวดมากให้รับประทานยาแก้ปวดชนิดคลายการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะและรับประทานยาปฏิชีวนะพื้นฐาน เช่น โคไตรม็อกซาโซล (Co-trimoxazole) 2 เม็ด วันละ 2 ครั้ง ทุก 12 ชั่วโมงเป็นเวลา 3 วัน หรืออะม็อกซีซิลลิน (Amoxicillin) ครั้งละ 500 มิลลิกรัม ทุก 8 ชั่วโมง หรือวันละ4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน เป็นเวลา 3 วันแต่ถ้าสงสัยว่ามีการแพ้ยาหรือดื้อยาเหล่านี้ก็อาจให้ยาปฏิชีวนะในกลุ่มฟลูออโรควิโนโลนเช่น นอร์ฟล็อกซาซิน (Norfloxacin)ครั้งละ 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้งทุก 12 ชั่วโมง นาน 3 วัน,โอฟล็อกซาซิน (Ofloxacin) ครั้งละ 200 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้งนาน 3 วัน หรือไซโพรฟล็อกซาซิน (Ciprofloxacin) ครั้งละ 250 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง นาน 3 วันแต่ยากลุ่มฟลูออโรควิโนโลนนี้ไม่ควรใช้ในหญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตรและผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี เพราะยังไม่มีข้อมูลยืนยันถึงความปลอดภัย
ไปพบแพทย์ตามนัดเสมอและควรรีบไปพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อมีอาการผิดปกติไปจากเดิม (เช่น ปัสสาวะเป็นเลือด, มีอาการไข้ หนองไหล ตกขาวถ่ายเป็นเลือด หรือกระหายน้ำบ่อยร่วมด้วย) หรืออาการต่าง ๆเลวร้ายลง/อาการยังไม่ดีขึ้นหลังจากดูแลตัวเองมา 2-3 วัน หรือเป็น ๆ หาย ๆอยู่บ่อย ๆ (เป็นซ้ำมากกว่า 2-3 ครั้ง)หรือเมื่อมีความกังวลในอาการ/ไม่มั่นใจที่จะดูแลรักษาตนเองหรือพบว่ามีอาการของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบในผู้ชาย (อาการขัดเบา) แม้ว่าจะเริ่มเป็นครั้งแรกก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัดแล้วรักษาไปตามสาเหตุที่ตรวจพบ
เมื่อรักษาหายแล้ว ต่อไปต้องพยายามอย่ากลั้นปัสสาวะเป็นอันขาดมิเช่นนั้นอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบจะกลับมาเป็นซ้ำได้อีก
โดยทั่วไปกระเพาะปัสสาวะอักเสบเป็นโรคไม่รุนแรงถ้าได้รับการรักษาอย่างถูกต้องก็มักจะหายขาด แต่ถ้าปล่อยไว้ไม่รักษาหรือเป็น ๆ หายๆ ก็อาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมาได้
วิธีป้องกันโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบในผู้ที่เคยเป็นโรคนี้และรักษาหายแล้วควรป้องกันมิให้เป็นซ้ำโดยการ
1.พยายามดื่มน้ำให้เพียงพอประมาณวันละ6-8 แก้ว (ตั้งแต่เช้าถึงเข้านอน)
2.อย่ากลั้นปัสสาวะเป็นเวลานานโดยไม่จำเป็นควรฝึกถ่ายปัสสาวะทุกครั้งที่รู้สึกปวดจนเป็นนิสัย เวลาที่ต้องเดินทางไกลก็ต้องฝึกให้เคยชินที่จะเข้าห้องน้ำนอกบ้านถ้ากลัวไม่สะอาดก็ให้ชำระล้างที่โถส้วมให้สะอาดเสียก่อนหรือเวลาเข้านอนตอนอยู่ในบ้านถ้าไม่สะดวกจะลุกเข้าห้องน้ำก็ควรเตรียมกระโถนไว้ข้างเตียงเพราะการกลั้นปัสสาวะจะทำให้เชื้อโรคอยู่ในกระเพาะปัสสาวะได้นานจนสามารถแบ่งตัวเจริญแพร่พันธุ์ประกอบกับในภาวะที่กระเพาะปัสสาวะมีความยืดตัวความสามารถในการขจัดเชื้อโรคของเยื่อบุผิวกระเพาะปัสสาวะลดน้อยลงจึงทำให้เกิดอาการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะได้ง่ายขึ้น
3.พยายามเคลื่อนไหวร่างกายเสมอไม่ควรนั่งแช่อยู่กับที่เป็นเวลานาน ๆ
4.รักษาความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศอยู่เสมอหลังการถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะควรล้างหรือใช้กระดาษชำระเช็ดทำความสะอาดจากด้านหน้าไปด้านหลัง (ในผู้หญิง)เพื่อป้องกันมิให้เชื้อโรคจากบริเวณทวารหนักเข้าสู่ท่อปัสสาวะ
5.ควรอาบน้ำจากฝักบัว
6.ไม่ควรใช้สเปรย์หรือยาดับกลิ่นตัวในบริเวณอวัยวะเพศเพราะอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อเมือกของอวัยวะเพศซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสการติดเชื้อและเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ง่ายขึ้น
7.ในผู้หญิงไม่ควรใช้วิธีคุมกำเนิดด้วยการใช้น้ำยาฆ่าอสุจิหรือการใช้ฝาครอบปากมดลูกเพราะจะเป็นการเพิ่มโอกาสการติดเชื้อต่อช่องคลอด ปากท่อปัสสาวะ และกระเพาะปัสสาวะ
8.ในผู้ชายการขลิบอวัยวะเพศจะช่วยลดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้
9.รักษาและควบคุมโรคต่างๆ ที่เป็นปัจจัยเสี่ยง
10.อาการขัดเบาหลังการร่วมเพศ(โรคกระเพาะปัสสาวะจากฮันนีมูน) อาจป้องกันได้โดยการดื่มน้ำ 1 แก้วก่อนการร่วมเพศใส่ครีมหล่อลื่นที่ช่องคลอด และถ่ายปัสสาวะทันทีหลังการร่วมเพศเสร็จ
11.ควรรักษาสุขอนามัยพื้นฐานอยู่เสมอเพื่อให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ลดโอกาสการติดเชื้อต่าง ๆรวมทั้งการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์
References: อ้างอิง
หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป2. “กระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis)”. (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). หน้า 860-862.
มูลนิธิหมอชาวบ้าน.นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 298คอลัมน์ : สารานุกรมทันโรค. “กระเพาะปัสสาวะอักเสบ”. (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก www.doctor.or.th [23 มิ.ย. 2016].
หาหมอดอทคอม. “กระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis)”. (ศ.เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : haamor.com. [23 มิ.ย. 2016].
ภาควิชาศัลยศาสตร์คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล. “โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบในผู้หญิง”. (ศ.เกียรติคุณ นพ.ธงชัย พรรณลาภ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.si.mahidol.ac.th [24 มิ.ย. 2016].
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย(MedThai)