ไม่ใช่เรื่องบัญเอิญ !!! กระต่ายบนดวงจันทร์มีที่มาจริง จากพระไตรปิฏก
ในอดีตคนส่วนหนึ่งอาจจะคิดว่าบนดวงจันทร์มีกระต่ายแต่ปัจจุบันนี้ที่มนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์แล้ว ก็ไม่เห็นว่ามีกระต่าย แต่ในพระไตรปิฎกก็คือ รูปกระต่ายบนดวงจันทร์นั้นมีที่มาอย่างไร... http://winne.ws/n6619
ในพระไตรปิฎกจะมีเรื่องราวในอดีตชาติของพระพุทธเจ้าในชาติก่อนๆ
โดยในพระชาติที่ถือกำเนิดเป็นกระต่าย ครั้งนั้นมีนาก สุนัขจิ้งจอก และลิงเป็นเพื่อนกัน กระต่ายโพธิสัตว์จะคอยตักเตือนพร่ำสอนเพื่อนทั้งสาม ให้ตั้งอยู่ในคุณธรรมความดี อยู่มาวันหนึ่งเป็นวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ กระต่ายพระมหาสัตว์จึงชวนเพื่อนทั้งสามให้รักษาอุโบสถศีล และตระเตรียมอาหารเพื่อถวายทานแก่ผู้มีศีล
พอเช้าตรู่ นากจึงไปยังฝั่งแม่น้ำเพื่อหาอาหาร ได้ปลาตะเพียนที่คนนำมาฝังหมกทรายไว้ ส่วนสุนัขจิ้งจอกก็เที่ยวหาอาหาร ได้เนื้อมา ๒ ชิ้น แม้ลิงก็ออกไปแสวงหาผลไม้ในป่า ได้มาแล้วก็เตรียมเอาไว้ทำทาน ฝ่ายกระต่ายโพธิสัตว์คิดว่า เราเลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยหญ้า เราไม่อาจให้หญ้าเป็นทานได้ ถ้าหากวันนี้มีเนื้อนาบุญ มายังที่อยู่ของเรา เราจะยอมสละชีวิต โดยให้เนื้อของเราเป็นทาน
เมื่อกระต่ายโพธิสัตว์คิดอย่างนี้ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของพระอินทร์ก็ร้อนขึ้นมา พระอินทร์ทรงตรวจดู ก็รู้ถึงความคิดของกระต่าย จึงแปลงเป็นพราหมณ์ จะมาทดสอบดูว่า สัตว์เหล่านั้นจะทำได้อย่างที่คิดไว้หรือเปล่า ตอนแรก ได้ไปที่อยู่ของนากก่อน ไปยืนสงบนิ่งอยู่ เมื่อนากถามความประสงค์ว่าต้องการอะไร พราหมณ์ก็บอกว่า อยากจะได้อาหารสักมื้อหนึ่ง แล้วจะรักษาอุโบสถศีล และบำเพ็ญภาวนา นากมีใจเลื่อมใสจึงให้ปลาตะเพียนแก่พราหมณ์แปลงนั้น
พราหมณ์ก็ขอบใจ แล้วบอกว่าจะมารับในภายหลัง จากนั้นก็ได้เดินทางไปหาสุนัขจิ้งจอก สุนัขจิ้งจอกเห็นก็ดีใจ และได้ให้เนื้อ ๒ ชิ้นเป็นทาน พราหมณ์ก็บอกว่าเอาไว้ก่อนแล้วจะมารับในภายหลัง และก็ได้เดินทางไปหาลิง ลิงก็ได้ให้ผลไม้ และน้ำดื่มแก่พราหมณ์ พราหมณ์ก็บอกเดี๋ยวจะมารับ แล้วไปหากระต่ายโพธิสัตว์
กระต่ายพระโพธิสัตว์เห็น พราหมณ์มาก็มีความยินดีปรีดาว่า ความดำริของเราจะสมปรารถนาในวันนี้ เราจะให้ทานอันประเสริฐที่ใครๆ ยากจะให้ได้ แก่พราหมณ์ผู้ประกอบด้วยศีลและธรรม แล้วกระต่ายก็บอกให้พราหมณ์ไปหาไม้มาก่อไฟ ตนจะสละชีวิตให้เป็นทาน พราหมณ์เห็นความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นของกระต่ายโพธิสัตว์ ก็มีจิตเลื่อมใส และได้นำไม้มากองทำเป็นฟืน แล้วก่อไฟขึ้น
กระต่ายพระโพธิสัตว์สลัดตัว เพื่อให้สัตว์ที่ติดอยู่ตามขนหลุดออกไป เพื่อชำระศีลให้บริสุทธิ์ แล้วก็กระโดดลงไปในกองไฟ โดยไม่กลัวความตาย แต่ไฟนั้นกลับมีความฉ่ำเย็นเหมือนกระโดดลงไปในสระน้ำ ไม่ได้ทำอันตรายกระต่ายพระโพธิสัตว์เลย แม้แต่ปลายเส้นขนก็ไม่ไหม้ไฟ
พระโพธิสัตว์เกิดความประหลาดใจที่กองเพลิงไม่เผาร่างกายของตนเอง ก็ถามพราหมณ์ว่า "ทำไมไฟนี้จึงไม่ร้อน?" พราหมณ์บอกว่า "ท่านพญากระต่าย ข้าพเจ้าไม่ใช่พราหมณ์ แต่เป็นท้าวสักกะ มาที่นี่ก็เพื่อจะทดลองใจท่าน"
กระต่ายพระโพธิสัตว์จึงได้บันลือสีหนาทว่า "ข้าแต่ท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพ ถึงแม้ชาวสวรรค์หรือ ชาวโลกทั้งหมด จะมาทดลองข้าพเจ้าด้วยการห้ามไม่ให้ทาน ข้าพเจ้าก็จะไม่ยอมเปลี่ยนแปลงความตั้งใจในการให้ทาน จะยอมสละทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งชีวิต เพื่อให้ใจที่พร่องเต็มเปี่ยมบริบูรณ์"
ท้าวสักกะเกิดความรู้สึกซาบซึ้ง จึงตรัสกับพระมหาสัตว์ว่า "ท่านบัณฑิต ท่านเป็นผู้สูงส่งด้วยคุณธรรม ขอให้คุณธรรมของท่าน จงปรากฏอยู่ตลอดกัปเถิด" แล้วพระองค์ก็ทรงเอาภูเขามาจารึกรูปกระต่ายไว้บนดวงจันทร์ เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการสร้างความดีของกระต่ายโพธิสัตว์ และเป็นสัญลักษณ์เพื่อเตือนใจให้ชาวโลกอย่าได้ละเลยในการให้ทาน เมื่อเห็นครั้งใดก็จะได้เร่งขวนขวายในการสร้างมหาทานบารมีอย่างเต็มที่ ดุจเดียวกับพระโพธิสัตว์ในกาลก่อน
จะเห็นว่าศรัทธาไม่สามารถประเมินค่าได้ว่ามากไปหรือน้อยไปมันขึ้นอยู่กับผู้นั้นเองว่าเขามีศรัทธาในการทำทาน รักษาศีลและปฏิบัติธรรมมากน้อยเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับยุคปัจจุบันซึ่งคนมีชีวิตต้องดิ้นร้นและแบ่งปันน้อย คนในยุคนี้จึงไม่ค่อยคุ้นกับการทำความดีแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน จึงไม่น่าแปลกที่ทำไมวัดใหญ่บ้างวัดที่สอนให้คนรักการทำความดีแบบก้าวกระโดดสวนกระแสกิเลสจึงเป็นที่จับตามองและสร้างความกังวลว่าอาจจะทำให้เกิดความหวาดระแวงและกลัวความไม่มั่นคงในกลุ่มของตนได้ ซึ่งวิกฤติศาสนาครั้งนี้ก็คงต้องหวังพึ่งชาวพุทธว่าจะรักษาความมั่นคงของพระพุทธศาสนาหรือจะเชื่อและเป็นเครื่องมือให้คนอื่นมาทำลายพระพุทธศาสนาโดยไม่รู้ตัว
ทุกครั้งที่เรามองพระจันทร์ เราก็จะได้ตรึกระลึกถึงคุณความดีของพระโพธิสัตว์ที่ท่านสร้างบารมีแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เพื่อที่เราจะได้มีกำลังใจในการทำความดีต่อไป