สร้างสุขด้วยรอยยิ้ม
สร้างสุขด้วยรอยยิ้ม:ยิ้มเป็นภาษาสากลที่ให้ความหมายเหมือนกันทุกชาติทุกภาษา ดังที่ Ekman & Friesen (1975) กล่าวว่า คนทั่วโลกยิ้มเมื่อมีความสุข ดังนั้น การยิ้มจึงถือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของความสุข http://winne.ws/n3341
สร้างสุขด้วยรอยยิ้ม
สร้างสุขด้วยรอยยิ้ม
ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็น "สยามเมืองยิ้ม" มาเป็นเวลานานแล้ว ชาวต่างชาติพากันประทับใจกับ "ยิ้มสยาม" มาโดยตลอด เพราะเห็นพ้องต้องกันว่าคนไทยนั้นเป็นคนยิ้มเก่ง ยิ้มง่าย หลายครั้งที่สื่อภาษากันไม่ค่อยเข้าใจ แต่คนไทยก็จะยิ้มไว้ก่อนเสมอ ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอบอุ่นใจว่าจะได้รับความช่วยเหลือด้วยไมตรีจิตอย่างแน่นอน
ทว่าในปัจจุบัน ได้มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าคนไทยเริ่มจะยิ้มน้อยลงกว่าเมื่อก่อน ไม่ว่าจะยิ้มให้กันเองหรือยิ้มให้ชาวต่างชาติก็ตาม และบางประเทศในภูมิภาคเอเซียอาคเนย์ เช่น สิงคโปร์ คู่แข่งในด้านการท่องเที่ยวของเรา ก็เริ่มจะได้ชื่อว่ายิ้มเก่งกว่าชาวไทยไปเสียแล้ว
การที่คนไทยเรายิ้มน้อยลงนั้น สาเหตุหนึ่งอาจจะเป็นเพราะสภาพเศรษฐกิจที่ทำให้ต่างคนต่างต้องรีบเร่งทำมาหากิน เป็นเหตุให้ไม่มีเวลาที่จะยิ้มให้กัน ส่วนอีกสาเหตุหนึ่ง น่าจะเป็นเพราะเรามีความสุขกันน้อยลง ทำให้ยิ้มไม่ออก และก็ไม่เห็นความสำคัญของการยิ้มด้วย มองว่าการยิ้มเป็นเรื่องไร้สาระ คนที่ยิ้มบ่อยดูจะเป็นคนไม่เอางานเอาการ สู้คนหน้าเคร่งขรึมไม่ได้เพราะจะดูดีดูภูมิฐาน ดูเป็นนักวิชาการ ดูเป็นผู้ทรงอำนาจ ทั้งที่ความจริงแล้ว การยิ้มนั้นเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อคนเราทั้งด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิตเลยทีเดียว
เราจึงน่าจะมาเรียนรู้และทำความรู้จักกับเรื่องของ "การยิ้ม" กันให้มากขึ้นเพื่อจะได้เห็นประโยชน์ของการยิ้ม และจะได้ยิ้มกันมากขึ้นต่อไป
สร้างสุขด้วยรอยยิ้ม
ยิ้มเกิดได้อย่างไร
รอยยิ้ม เกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อ 2 มัดใหญ่ คือ ไซโกเมติก เมเจอร์ (Zygomatic major) ที่จะช่วยดึงมุมปากให้ยกขึ้นไปหาโหนกแก้ม และ ออร์บิคิวลาริสออคิวไล (OrbicularisOculi) ที่จะช่วยดึงเนื้อแก้มและเบ้าตาให้ยกขึ้น
เมื่อเปรียบเทียบการยิ้มกับการแสดงสีหน้าแบบอื่น เช่น โกรธเศร้า เคร่งขรึม วิตกกังวล ฯลฯ แล้ว จะพบว่าการยิ้มให้กล้ามเนื้อใบหน้าน้อยกว่าการแสดงสีหน้าแบบอื่นมาก การยิ้มจึงเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า ใช้พลังงานน้อยกว่า และทำให้ใบหน้าดูดีกว่าการแสดงสีหน้าแบบอื่น ๆ ด้วย
สร้างสุขด้วยรอยยิ้ม
ยิ้มมีผลต่อร่างกายอย่างไร
จากการศึกษาพบว่า เมื่อกล้ามเนื้อใบหน้าเคลื่อนไหวจนเกิดเป็นรอยยิ้ม จะส่งผลทำให้โลหิตแดงที่ไปเลี้ยงสมองมีอุณหภูมิต่ำลงและเมื่อสมองมีอุณหภูมิลดลง จะทำให้เกิดความรู้สึกสบายและผ่อนคลายซึ่งจะตรงข้ามกับการทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ที่การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้าจะทำให้สมองมีอุณหภูมิสูงขึ้นและเกิดความรู้สึกที่ไม่สบาย
นอกจากนี้ ในขณะที่คนเรายิ้มหัวใจจะเต้นช้าลง ความดันโลหิตลดลง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายจะผ่อนคลายลง ต่อมหมวกไตจะทำงานน้อยลง ฮอร์โมนอะดรีนาลีน ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความเครียดจะถูกขับออกมาน้อยลงด้วย การยิ้มจึงช่วยลดความเครียดได้
สร้างสุขด้วยรอยยิ้ม
ยิ้มมีความหมายอย่างไรได้บ้าง
ยิ้มเป็นภาษาสากลที่ให้ความหมายเหมือนกันทุกชาติทุกภาษา ดังที่ Ekman & Friesen (1975) กล่าวว่า คนทั่วโลกยิ้มเมื่อมีความสุข ดังนั้น การยิ้มจึงถือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของความสุข
คนที่มีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เป็นนิจ แสดงว่าเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี สนุกสนาน ร่าเริง มั่นใจในตัวเองมีวุฒิภาวะกล้าแสดงออก เปิดเผย ไม่มีลับลมคมใน มีเสน่ห์เข้ากับผู้อื่นได้ง่าย น่ารัก อบอุ่น เอื้อเฟื้อผิดกับคนหน้าตาเคร่งขรึม ซึ่งมักจะถูกมองว่าเป็นคนหยิ่ง ไว้ตัว หัวเก่า เย็นชา เจ้าระเบียบ เก็บตัว ไม่น่าคบ
การยิ้มยังแสดงถึงความกล้า การยิ้มจะขจัดความกลัวออกไป โรคภัยไข้เจ็บหลายโรคที่เกิดจากความกลัวจะสามารถทำให้ทุเลาลงได้ง่าย ๆ โดยการใช้รอยยิ้มในการบำบัดเท่านั้นเองและในสถานการณ์คับขัน หากคนเรายังยิ้มได้ อย่างที่เรียกว่า "ยิ้มได้เมื่อภัยมา" จะแสดงให้เห็นว่าบุคคลนั้นมีความมั่นใจในตัวเองสูง และมักจะมีพลังที่จะเอาชนะปัญหาอุปสรรคนั้นได้
สร้างสุขด้วยรอยยิ้ม
การยิ้มมีความสัมพันธ์กับความสุขอย่างไร
เป็นที่สงสัยกันมากว่า คนเรามีความสุขแล้วจึงยิ้ม หรือยิ้มก่อนแล้วจึงจะมีความสุข ทำให้นักวิชาการต้องทำการศึกษาวิจัยในเรื่องนี้ให้ถ่องแท้ลงไป และผลที่ได้ก็พบว่าเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง นั่นคือเมื่อคนเรารู้สึกมีความสุข เราจะแสดงออกทางสีหน้าด้วยรอยยิ้มแต่ก็มีบางคนเช่นกันที่ชอบเก็บกดอารมณ์ของตน เวลามีความสุขก็ยังพยายามบังคับสีหน้าให้ดูเคร่งขรึม ซึ่งต้องใช้กล้ามเนื้อใบหน้ามากกว่า เสียพลังงานมากกว่า และทำให้ไม่สามารถมีความสุขได้อย่างเต็มที่ด้วย
ในทางตรงข้าม แม้คนเราจะยังไม่รู้สึกมีความสุขแต่เมื่อยิ้มแล้วสักพัก จะรู้สึกว่าอารมณ์ดีขึ้นและมีความสุขได้เช่นกันดังตัวอย่างทดลองต่อไปนี้
สร้างสุขด้วยรอยยิ้ม
มาฝึกยิ้มกันเถอะ
ความจริงคนเรายิ้มกันได้ตั้งแต่เป็นทารกอายุไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น และเป็นไปโดยธรรมชาติ ไม่ต้องมีการฝึกสอนอะไรทั้งสิ้น แต่เพราะสภาพแวดล้อมในครอบครัว ภาวะเศรษฐกิจสภาพการทำงานหรืออะไรก็ตาม อาจจะทำให้หลายๆคนลืมเลือนการยิ้มกันไปหมด เราจึงควรหันมาฝึกยิ้มและให้ความสำคัญกับการยิ้มให้มากขึ้น เพราะการยิ้มมีประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจเป็นอย่างมากดังที่กล่าวแล้วข้างต้นนั่นเอง
ดังที่กล่าวแล้วข้างต้นว่า การยิ้มสามารถเหนี่ยวนำให้สมองและร่างกายผ่อนคลาย เกิดความรู้สึกเป็นสุขขึ้นได้โดยที่ในใจไม่จำเป็นต้องมีความสุขอยู่ก่อน หากเราหัดยิ้มกันบ่อยๆ ยิ้มให้เป็นนิสัย ก็จะทำให้สมองเกิดการเรียนรู้และจดจำได้ว่า เมื่อยิ้มนั่นหมายถึงความสุข หรือ "ฉันยิ้มฉันมีความสุข" ดังนั้น แม้จะมีความทุกข์ใจ ไม่สบายใจแต่เมื่อยิ้มออกมาให้ได้บ่อย ๆ ความรู้สึกดี ๆ ก็จะเกิดขึ้นตามมาเอง และเราก็จะเป็นคนที่มีความสุขใจอยู่เสมอ
สร้างสุขด้วยรอยยิ้ม
วิธีการกระตุ้นให้ยิ้มอย่างง่าย ๆ ได้แก่
การพูดคุยอย่างสนุกสนานในกลุ่มเพื่อนสนิทที่คุ้นเคย หรือกับคนในครอบครัว การอ่านหนังสือประเภทชวนหัว ขำขัน ขายหัวเราะ ฯลฯ การดูภาพยนตร์ ดูละคร หรือการแสดงตลกการเตือนตัวเอง เช่น ต้องยิ้มทุกครั้งเมื่อตื่นนอน ยิ้มทุกครั้งเมื่อพบหน้าคนใกล้ชิด ยิ้มทุกครั้งเมื่อก้าวเท้าออกจากบ้าน ยิ้มทุกครั้งเมื่อเข้าสำนักงาน หรือยิ้มตอบทุกคนที่ยิ้มให้ เป็นต้น
การยิ้มมีคุณค่ามหาศาล แถมยังไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ อีกด้วย ดังบทกลอนของ ศาสตราจารย์นายแพทย์ประสพ รัตนากร (2534) ที่ว่า
"เมื่อเรายิ้มเราไม่เสียอะไรเลย
แต่ได้ผลงอกเงยมากนักหนา
ผู้ได้รับอิ่มเอมเปรมอุรา
ผู้ยิ้มให้ก็ใช่ว่าจะจนลง"
ในเมื่อยิ้มแล้วเรามีแต่จะได้ ได้ทั้งผลดีต่อสุขภาพ ได้มิตรภาพได้ภาพลักษณ์ที่ประทับใจผู้อื่น ฯลฯ แล้วเราจะรีรอกันอยู่ทำไม รีบยิ้มกันตั้งแต่เดี๋ยวนี้ดีกว่าแล้วจะพบว่าความสุขใจนั้นอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมเลยจริง ๆ
เรียบเรียงโดย อินทิรา ปัทมินทร/พิณสายกลาง
ขอบคุณภาพจากwww.google.com