สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ผลการศึกษาจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ (ซีดีซี) ที่เปิดเผยเมื่อวันที่ 6 สิงหาคมระบุว่า ผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 มีแนวโน้มที่จะติดเชื้อโควิด-19 ซ้ำมากกว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วถึง 2 เท่า

ซีดีซีระบุว่า การค้นพบนี้สนับสนุนข้อเสนอแนะว่า “ทุกคนที่เข้าเกณฑ์ในการรับวัคซีนได้ควรจะเข้ารับการฉีดวัคซีน โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะเคยติดเชื้อมาก่อนหรือไม่”

ทั้งนี้นักการเมืองสหรัฐบางคน รวมถึงวุฒิสมาชิกแรนด์ พอล เคยกล่าวว่าพวกเขาไม่ได้วางแผนที่จะรับวัคซีนโควิด-19 เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติของพวกเขาที่ได้มาจากการติดเชื้อครั้งก่อน

อย่างไรก็ดีผลการศึกษาใหม่นี้อ้างอิงจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ใหญ่ในรัฐเคนตักกี 246 คน ที่ติดเชื้อซ้ำในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนปีนี้ หลังจากที่เคยติดเชื้อแล้วในปี 2020 โดยเปรียบเทียบกับกลุ่มตัวอย่าง 492 คน โดยตัวแปรที่ควบคุมคือต้องมีเพศ อายุ และช่วงเวลาที่ติดเชื้อโควิดตรงกัน

จากการวิเคราะห์พบว่าผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนมีโอกาสติดเชื้อซ้ำ 2.34 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่ได้รับวัคซีนครบโดส โดยใช้วัคซีนไฟเซอร์ โมเดอร์นา หรือจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ส่วนระยะเวลาของภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากการติดเชื้อจะคงอยู่นานเท่าใดนั้นยังไม่มีความเข้าใจที่ชัดเจนนัก ทั้งยังอาจได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อสายพันธุ์ที่ใหม่ที่เกิดขึ้นด้วย

จากการศึกษาในห้องปฏิบัติการแสดงให้เห็นว่าตัวอย่างเลือดจากผู้ที่ติดเชื้อสายพันธุ์อู่ฮั่นดั้งเดิม แอนตีบอดีในร่างกายจะตอบสนองได้ไม่ดีนักเมื่อเจอกับเชื้อสายพันธุ์เบต้าซึ่งพบครั้งแรกในแอฟริกาใต้ นอกจากนี้หนึ่งในข้อจำกัดของการศึกษาคือการศึกษาดังกล่าวทำขึ้นก่อนหน้าที่สายพันธุ์เดลต้าจะกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดในสหรัฐ

https://www.matichon.co.th/foreign/news_2871790

ประเทศที่พัฒนาแล้ว มีวัคซีนเหลือเฟือ แต่ยังมีประชาชนบางส่วนที่ไม่ยอมฉีดวัคซีน เนื่องจากความเชื่อ หรือการรับข้อมูลที่อาจไม่สมบูรณ์ 

ในขณะที่ประเทศยากจนหรือกำลีงพัฒนาประชาชนต้องกระเสือกกระสนหาวัคซีนเพื่อป้องกันตัวเอง

นี้คือความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในโลกนี้