สำนักงานสาธารณสุขแห่งอังกฤษ (พีเอชอี) แถลงเมื่อวันที่ 6 สิงหาคมนี้ว่า จากการศึกษาด้วยการสำรวจ พบข้อมูลเบื้องต้นที่บ่งชี้ว่า ปริมาณไวรัสที่เป็นเชื้อกลายพันธุ์เดลต้าที่พบในผู้ป่วยทั้งที่ฉีดวัคซีนแล้วกับผู้ป่วยที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน อยู่ในระดับเดียวกัน

ถ้อยแถลงของพีเอชอี ระบุว่า นี่อาจเชื่อมโยงกับความสามารถของวัคซีนในการแพร่เชื้อไม่ว่าคนนั้นจะฉีดวัคซีนครบแล้วหรือไม่ได้ฉีดเลยก็ตาม ซึ่งหมายความว่า ทุกคนมีสิทธิติดเชื้อเดลต้าได้ทั้งหมด แม้ว่า วัคซีน จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการป่วยหนักและเสียชีวิตจากเชื้อเดลต้าได้ก็ตาม แต่ก็ทำให้ผู้ที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว สามารถกลายเป็นพาหะแพร่เชื้อได้เหมือนกับคนทั่วไป

ทั้งนี้ผลการค้นพบของพีเอชอีดังกล่าวสอดคล้องกับข้อมูลของ ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรค (ซีดีซี) ของสหรัฐอเมริกาที่ ออกมาแสดงความกังวลว่า ผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วสามารถติดเชื้อเดลต้าได้และพร้อมที่แพร่ให้กับผู้อื่นได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม พีเอชอี ย้ำว่า ข้อมูลดังกล่าวได้จากการวิเคราะห์ผลสำรวจเบื้องต้นเท่านั้น และจำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยแบบจำเพาะเจาะจงต่อไป เพื่อยืนยันว่า กรณีที่พบเชื้อไวรัสในปริมาณเท่ากันดังกล่าวเกิดจากเหตุผลนี้หรือไม่

วันเดียวกัน สำนักงานสถิติแห่งชาติ (โอเอ็นเอส) ของอังกฤษ เผยแพร่ข้อมูลระบุว่า สัดส่วนการติดเชื้อโควิด-19 ในอังกฤษในสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุดในวันที่ 31 กรกฎาคม ลดลงมาอยู่ที่ 1 คนในทุกๆ 75 คน จากเดิมซึ่งเคยอยู่ที่ 1 คนในทุก 65 คนเมื่อ 1 สัปดาห์ก่อนหน้านั้น

การลดลงดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศอังกฤษ ลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ถึงจุดระบาดสูงสุดเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ซึ่งมีผู้ติดเชื้อสูงถึง 54,674 คนใน 1 วัน

https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2871076

ดังนั้นการฉีดวัคซีนแล้ว ก็ไม่ใช่ประมาทว่าจะไม่ติด หรือไม่แพร่เชื้อ สิ่งที่ต้องทำคือ ใส่หน้ากากอนามัยแบบที่หมอใช้ ล้างมือด้วยแอกอฮอล์หรือสบู่บ่อยๆ และเว้นระยะห่าง ยังต้องทำอย่างเคร่งครัด เพื่อที่นอกจากป้องกันตัวเราเอง ยังป้องกันการแพร่เชื้อจากตัวเราด้วย