"ธรณีสูบ" ผู้ทำบาปหนัก สมัยพุทธกาล 5 ชีวิต ที่มีความชั่วมากแผ่นดินสูบสู่อเวจีมหานรก
"ธรณีสูบ" ผู้ทำบาปหนัก ในสมัยพุทธกาล มีถึง 5 ชีวิต 1 พระเทวทัต 2. พระเจ้าสุปปพุทธะ 3. นันทมานพ 4. นางจิญจมานวิกา 5. นันทยักษ์ เทียบเหตุการณ์คล้ายธรณีสูบปัจจุบันเกิดหลุมยักษ์มีผู้เสียชีวิต ในหลุมยักษ์นั้นทีเดียว 3 คน ที่ประเทศกัวเตมาลา ใช่หรือไม่ ??? http://winne.ws/n1372
1. พระเทวทัต เป็นพระประยูรญาติและเป็นพระเชษฐาของพระนางยโสธรา พระมเหสีของเจ้าชายสิทธัตถะ ท่านอาฆาตจองเวรกับพระพุทธองค์ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ และเมื่อเข้ามาบวชก็แสดงความมักใหญ่ใฝ่สูง อยากเป็นศาสดาของศาสนา โดยวีรกรรมอันน่าโจษจันมีตั้งแต่แสดงการเหาะเหินเดินอากาศให้เจ้าชายอชาตศัตรูดู เพื่อให้เกิดความเลื่อมใสและขอเป็นศิษย์ หลังจากนั้นก็ยุแหย่ให้เจ้าชายทำการลอบปลงพระชนม์พระราชบิดา
แล้วยังพยายามลอบปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าอีกหลายครั้ง เช่น ปล่อยช้างตกมันให้วิ่งเข้าชนบ้าง จ้างนายธนู 10 คนมาลอบยิงบ้าง และสุดท้ายพยายามกลิ้งหินให้ตกจากเขาคิชกูฏ โดยหมายให้หินหล่นทับพระพุทธเจ้า แต่หินกลับกระเด็นหนีอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ทว่าสะเก็ดหินกับไปถูกข้อพระบาทจนห้อเลือด แถมยังเสนอให้พระพุทธเจ้าลาออก หรือสร้างกฎที่เคร่งครัดเพื่อเรียกศรัทธา อย่างไม่กินสัตว์ และอยู่ป่าตลอดชีวิต จนคณะสงฆ์แตกแยก
แต่คนชั่วย่อมไม่พ้นบาปกรรม ในที่สุด เมื่อคนก็รู้ความจริงก็ไม่ศรัทธาแถมยังประณาม สุดท้ายท่านก็เกิดความสำนึกนึกและหวังจะขอขมาพระพุทธองค์แต่ไม่ทันกาล เพราะถูกธรณีสูบลงไปก่อน
"....แม้พระเทวทัตแล ลุกจากเตียงแล้วนั่งวางเท้าทั้งสองบนพื้นดิน เท้าทั้งสองนั้นก็จมแผ่นดินลง เธอจมลงแล้วโดยลำดับเพียงข้อเท้า, เพียงเข่า, เพียงเอว, เพียงนม, จนถึงคอ, ในเวลาที่กระดูกคางจดถึงพื้นดิน..."
นี่คือวาระสุดท้ายซึ่งปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกของบุคคลที่เรียกว่า เดียรถีย์ที่โด่งดังที่สุดแห่งวงการพระพุทธศาสนาก่อนจะถูกธรณีสูบลง ณ ริมสระน้ำ หน้าวัดเชตวันมหาวิหาร หลายคนอาจจะสงสัยว่า เรื่องธรณีสูบเกิดขึ้นจริงไหม และคนที่ประพฤติเช่นใดที่ต้องเผชิญยถากรรมแบบนี้
ซึ่งหากไปย้อนดูสมัยโบราณจะเห็นจุดร่วมสำคัญว่า ผู้นั้นจะต้องทำบาปหนัก จนไม่อาจให้อภัยได้ เพราะให้อภัยให้แล้วแต่ยังก่อกรรมที่หนักขึ้นอีก เป็นผู้มีจิตใจต่ำทราม แม้แต่ธรณียังไม่อาจรับน้ำหนักของบาปกรรมไหว จนต้องสูบลงสู่ห้วงนรกอเวจี ไม่ได้เกิดชั่วกัปชั่วกัลป์
2. พระเจ้าสุปปพุทธะ เป็นพระราชบิดาของพระเทวทัตและพระนางยโสธรา โดยหลังจากที่พระเทวทัตได้ถูกธรณีสูบลงไปแล้ว ก็มีความอาฆาตพระพุทธองค์ เพราะคิดว่าเป็นต้นเหตุของเรื่อง แถมยังทอดทิ้งพระนางยโสธราไปบวช จนกลายเป็นหม้าย จึงพยายามหาทางกลั่นแกล้งด้วยเกณฑ์อำมาตย์และข้าราชบริพารไปดื่มกินสุราเพื่อขวางทางที่พระพุทธเจ้าเสด็จออกบิณฑบาต ซึ่งเป็นทางเดียวที่เดินได้ ทำให้ทรงอดพระกระยาหาร 1 วัน
เมื่อครั้งพระอานนท์ถามโทษของพระเจ้าสุปปพุทธะว่าจะเป็นเช่นใด ก็ทรงตอบทันทีว่า นับจากนี้อีก 7 วันจะต้องตามพระราชโอรสไปอเวจี พอบรรดาอำมาตย์ได้ยินอย่างนั้น จึงรีบกลับไปรายงานโดยด่วน พระเจ้าสุปปพุทธะจึงหนีขึ้นประทับ ณ ปราสาท 7 ชั้น โดยแต่ละชั้นมีทหารป้องกันไว้ แถมยังทรงตรัสอีกว่า ระหว่าง 7 วันนี้ หากพระองค์ลงมาให้ขัดขวางไว้ จะไม่เอาโทษ
แต่การณ์กลับเป็นว่า พบถึงวันที่ 7 ม้าแก้วซึ่งเป็นม้าที่พระองค์โปรดปรานเกิดอาละวาดร้องเสียงดัง พระองค์ทรงเป็นห่วงม้าเกิดขาดสติรีบวิ่งลงไป ขณะนายทหารก็ไม่ได้ขัดขวางเพราะคิดว่าครบกำหนดแล้ว และพอย่างพระบาทลงเหยียบแผ่นดินเท่านั้น ก็ถูกธรณีสูบลงสู่นรกอเวจีทันที
3. นันทมานพ บุคคลผู้นี้ทำบาปมหันต์ด้วยการข่มขืนพระอุบลวรรณาเถรี โดยเรื่องนี้เกิดจากสมัยที่ยังไม่อุปสมบท ท่านเป็นสตรีที่เลอโฉมมาก
เป็นที่ต้องตาต้องใจบรรดาหนุ่มๆ หลายคน แต่เนื่องจากเกิดความเบื่อหน่ายในโลกโลกีย์ จึงออกบวชและสำเร็จอรหันตผล
แต่นั่นก็ไม่ทำนันทมานพที่เลิกหวัง ยังฝังใจและปรารถนาจะมีเพศสัมพันธ์กับท่านให้จงได้ จึงแอบไปซุ่มอยู่ในป่าข้างกระท่อมที่ท่านจำพรรษาอยู่ เมื่อเห็นว่าออกจากกระท่อมไปบิณฑบาตแล้ว ก็เข้าไปซ่อนอยู่ใต้เตียง พอกลับมาก็ใช้กำลังปลุกปล้ำ พระอุบลวรรณาพยายามขอความช่วยเหลือแต่ก็ไม่มีใครได้ยิน จึงหันไปเตือนสตินันทมานพว่า ให้หยุดการกระทำ ไม่เช่นนั้นจะเกิดความหายนะแก่ตัว แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจ และพอข่มขืนเสร็จ นันทมานพก็วิ่งจากออกจากกระท่อม พอเท้าลงพื้นธรณีก็เปิดอ้าสูบลงไปในขุมนรกไปอีกราย
4. นางจิญจมาณวิกา นางเป็นผู้รับอาสาจากพวกปริพาชกที่อิจฉาพระพุทธองค์ โดยเริ่มแรกก็หลบเข้าไปในวัดเชตวันฯ และทำทีว่าเดินออกมาจากวัด เมื่อคนถามก็บอกว่า ไปอยู่กุฏิของพระสมณโคดม จนผู้คนระแวงสงสัย ทำอย่างนี้อยู่ 9 เดือน ขณะที่ท้องของนางก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เพราะนางเอาไม้กลึงนูนไปผูกรัดเอาไว้
จนเมื่อสบโอกาส ขณะที่พระพุทธองค์เทศนา นางก็ร้องตะโกนว่า พระองค์ทำนางท้อง ซึ่งก็ไม่ทรงแก้ตัวอะไร เพียงแต่ตรัสว่า เรื่องนี้มีแค่ 2 คนคือ พระองค์กับนางจิญจมาณวิกาเท่านั้นที่รู้ ก็ยิ่งสร้างความสงสัยใหญ่หนักเข้าไปใหญ่ เมื่อท้าวสักกเทวราชเห็นดังนั้น จึงสั่งให้เทพบุตรประจำตัวแปลงร่างเป็นหนูไปกัดเชือกที่หน้าท้องปลอมหลุดออกมา แล้วนางตกใจวิ่งหนีไปแต่ไปได้ไม่ไกลธรณีก็สูบเอาลงนรกอเวจีไป
5. นันทยักษ์ ซึ่งเป็นยักษ์ที่มีอิทธิฤทธิ์มาก และชอบเหาะเหินไปมาตามฟากฟ้าพร้อมกับสหายที่ชื่อ เหมตายักษ์ เมื่อถึงจุดที่พระสารีบุตรกำลังทำสมาธิอยู่ บริเวณนั้นว่างเปล่าจากอากาศธาตุ ทำให้นันทยักษ์เหาะผ่านไม่ได้ จึงเกิดบันดาลโทสะ จึงคิดจะฆ่าพระสารีบุตรเสีย โดยเหาะขึ้นบนอากาศ ใช้กระบองฟาดลงบนศีรษะของพระสารีบุตรอย่างแรง จนภูเขาพังไป 100 ลูก แต่พระสารีบุตรไม่ได้รับอันตรายแม้แต่น้อย แล้วจู่ๆ ก็เกิดไฟขึ้นเผาตัวยักษ์ ก่อนจะตกลงมาจากอากาศ ขณะที่แผ่นดินก็เปิดช่องเอาไว้ ทำให้นันทยักษ์กลายเป็นผู้ที่ถูกธรณีไปโดยปริยาย
ดร.พีรนันท์ โตวชิราภรณ์ หัวหน้าแผนกวิเคราะห์ความเสี่ยงภัยพิบัติ องค์กรเตรียมภัยพิบัติแห่งเอเชีย อธิบายว่า ธรณีสูบตามหลักธรณีวิทยา แบ่งได้เป็น 2 แบบ คือการที่พื้นดินยุบลงไป กับการเลื่อนของพื้นดิน
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยและกลไกหลายอย่าง ตรงนั้นอาจจะเคยเกิดแผ่นดินไหวมาก่อน หรือฝนตกหนักมาก ทำให้เกิดช่องว่างลงในชั้นพื้นดิน ตามเนินเขาต่างๆ ก็เช่นกัน โดยเฉพาะที่เป็นดินร่วนหรือดินเหนียว หากมีความชื้นหรือความอิ่มตัวของน้ำมากเกินไปก็มีสิทธิ์เลื่อนตัวได้
"หลุมพวกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นทันที แต่เป็นการสะสมมาเรื่อย ๆ เพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นตอนแรกที่ชั้นดิน แต่เกิดในจุดที่ลึกกว่านั้น โดยจะมาในรูปของช่องว่างหรือช่องอากาศที่เกิดขึ้นใต้ดิน หรือไม่ก็เกิดจากการไหลเลื่อนของดินทรายที่อยู่ในชั้นใต้ดิน จากจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่ง และหากเกิดแรงสั่นสะเทือนหรือมีน้ำเข้ามามากๆ แล้วทำให้ชั้นดินรับน้ำหนักไม่ไหว ก็จะเกิดการยุบตัวเป็นหลุมในที่สุด ซึ่งบางประเทศยุบได้เป็นสิบ ๆ เมตรเลย"
ตัวอย่างที่โด่งดังสุด ก็คือกรุงกัวเตมาลา ประเทศกัวเตมาลา ที่เกิดธรณีสูบถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกในปี 2550 ซึ่งจู่ๆ ก็มีหลุมขนาดยักษ์ถึง 100 เมตร มีผู้เสียชีวิตถึง 3 คน อีกครั้งในปี 2553 คราวนี้ลึก 60 เมตร กว้าง 20 เมตร กลืนกินสี่แยกและตึก 3 ชั้น แถมคร่าชีวิตผู้เคราะห์ร้ายมากถึง 15 ราย
ส่วนประเทศไทย ยังไม่เคยมีเหตุการณ์ใหญ่ๆ เลยแม้แต่ครั้งเดียว
อย่างไรก็ตาม โอกาสที่จะรู้ก่อนว่าตรงนี้จะเกิดธรณีสูบหรือไม่นั้น ก็ยากไม่ใช่เล่น เพราะต้องมีการตรวจใต้ชั้นดิน ซึ่งจะทำเฉพาะเวลาสร้างอาคารสูง หรือทำอุโมงค์ใต้ดินเท่านั้น แต่อย่างดีที่เรื่องพวกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ
"ประเทศที่มีโอกาสเสี่ยงก็คือ ประเทศที่มีแผ่นดินไหวเยอะ อย่างญี่ปุ่น ผมเคยเห็นว่าช่วงแผ่นดินไหว บ้านเขายุบตัวลงไป ในดินเพราะดินมันสูญเสียกำลังจะรับน้ำหนักแล้ว" ดร.พีรนันท์กล่าวทิ้งท้าย
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.kunkroo.com/catalog.php?idp=76