นางเอกดัง!! เผย “วันนี้ฉันคือชาวนา ผู้ปรารถนานิพพาน”
ดารานักแสดงสาว อุ้ม สิริยากร คุณแม่ลูกหนึ่ง หันมาเป็นชาวนา ปลูกข้าวกินเอง โดยมีแรงบันดาลใจ คือ “ธรรมะพุทธองค์” http://winne.ws/n1116
ในสารบบของชาวนาตอนนี้มีชื่อของดาราสาวสวย สิริยากร พุกกะเวส บรรจุอยู่ด้วย นอกจากความต้องการที่จะปลูกข้าวกินเองแล้วแรงขับสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้เธอตัดสินใจเปลี่ยนสถานภาพจากดารานักแสดงเป็นชาวนา ก็คือ “ธรรมะ”
เริ่มสนใจธรรมะตั้งแต่เมื่อไรครับ ?
คิดว่าคงทำมาหลายภพหลายชาติค่ะ(ยิ้ม) แต่ที่นึกขึ้นได้และเริ่มปฏิบัติคือ ตอน ป. 4 อายุ 10 ขวบ อุ้มเรียนอยู่โรงเรียนเล็กๆ แถวสมุทรปราการที่โรงเรียนสอนสวดมนต์และนั่งสมาธิ ทุกศุกร์บ่ายจะเป็นวันที่เราสวดมนต์กัน อุ้มได้เป็นตัวแทนนักเรียนในการนำสวดพอสวดเสร็จก็นั่งสมาธิ รู้สึกว่าชอบ กลับมาถึงบ้านก็มานั่งเอง มีวันหนึ่งตอนกลางคืนจู่ๆก็ไปนั่งสมาธิหน้าพระมืดๆ คนเดียว ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าต้องนั่งยังไงให้ถูก จำที่ครูสอนมาแค่นั้น
ตอนเรียนที่โรงเรียนสายน้ำผึ้งช่วงมัธยมมีการเข้าค่ายของโรงเรียน ตอนกลางคืนขณะที่เพื่อนๆ วิ่งเล่นกัน เรากลับลุกขึ้นมานั่งสมาธิคนเดียวตอนเด็กไม่รู้หรอกว่าทำไปทำไม รู้แค่ว่านั่งแล้วดี ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรเป็นแรงผลักให้ทำอาจจะเป็นสัญญาเก่าที่ไม่รู้ว่าทำมากี่ชาติภพ พอถึงชาตินี้ ระลึกได้ว่าเกิดมาเพื่อทำก็ทำเลยอุ้มเชื่อว่าการมาเกิดของคนเรามีเหตุแห่งการมา เคยตั้งจิตไว้ยังไง เราก็จะมาทำสิ่งนั้นต่อบางคนใช้เวลานานกว่าที่จะรู้ แบบที่คนอินเดียนแดงมี Vision Quest คือผู้ชายที่จะเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่จะต้องผ่านพิธีกรรมเพื่อให้รู้เป้าหมายของการมีชีวิตอยู่และรู้ว่าเกิดมาทำไมบนโลกใบนี้บางคนจนตายก็ยังลืม จำไม่ได้ ขณะที่บางคนเกิดมาแล้วบวชเป็นเณรเลย ไม่เคยใช้ชีวิตฆราวาสคือไม่เสียเวลาแล้วเกิดมาเพื่อปฏิบัติเท่านั้น
ช่วงเรียนมัธยมและมหาวิทยาลัย ส่วนมากอุ้มจะทำทาน เรื่องศีลและภาวนานี่ไม่ค่อยได้ทำช่วงที่ทำงานก็ไม่ค่อยสนใจ จำได้ว่าตอนเล่นละครเรื่อง สี่แผ่นดิน ผู้ช่วยผู้กำกับท่านหนึ่งซึ่งเคยฝึกปฏิบัติกับท่านโกเอ็นก้าเอาใบสมัครมาให้กรอก อุ้มไม่เอาแล้ววิ่งหนีเลย คิดในใจว่าให้ไปนั่งอย่างเดียว 12 วัน ใครจะทำได้ ตอนนั้นคงยังไม่ถึงเวลาของเรา กระทั่งมาเริ่มตั้งบริษัทของตัวเอง(บริษัทบ้านอุ้ม จำกัด) เมื่อประมาณ 7 –8 ปีที่แล้ว ทำบริษัทไปได้2 – 3 ปีมีความวุ่นวายเกิดขึ้นมาก ทั้งความกดดันในงานและหลายๆ เรื่องในชีวิต เหมือนผูกปมในใจไปเรื่อยๆโดยไม่รู้ตัว มารู้อีกทีใจก็เหมือนก้อนด้ายยุ่งๆ ก้อนหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะเริ่มสางตรงไหนก่อนดี?ปมใหม่เกิด?ขณะที่ของเก่าก็ไม่ได้แก้อีนุงตุงนังไปหมด
จนถึงวันหนึ่งไปต่อไม่ได้ท้อแท้มาก คิดว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี จะแก้ยังไง หาต้นหาปลายไม่เจอ ผลคือซึมเศร้าตอนนี้พอเราผ่านการปฏิบัติมาแล้ว มองกลับไปถึงได้รู้ว่ามันคือสังขาร มีการปรุงแต่งและมีกิเลสเยอะมากแต่ไม่เคยได้รับการเยียวยาหรือกำจัดออกไปเลย ตลอดเวลาอุ้มบอกตัวเองว่าเราโอเค จัดการได้เก่งเอาอยู่ แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่ ตอนนั้นมีทั้งความเครียด ความหดหู่ ความซึมเศร้า เรียกว่าชีวิตไม่มีความสุขแม้จะใช้ชีวิตปกติ ไปทำงาน ดูแลงานกิจกรรมต่างๆ คิดโปรเจ็คท์ใหม่ๆ ทำนู่นทำนี่ แต่ข้างในเศร้าหมองมากมันมีความกลัวอะไรบางอย่างอยู่ลึกๆ ตลอดเวลา แต่จัดการมันไม่ได้ ธรรมะยังไม่มี เลยตอบโต้ไปแบบมืดบอดบางคนคงไปพบจิตแพทย์เพื่อปรึกษาอาการที่เป็น
อุ้มก็ไปค่ะ เข้าใจคนหดหู่เลยว่าเป็นยังไงแต่คนรอบข้างไม่มีวันจะเข้าใจ ตอนนั้นคนรอบตัวที่มองมาก็ถามว่าเป็นอะไร ธุรกิจก็ดีงานก็ดี เงินเก็บก็เยอะ แต่เรื่องเหล่านี้มันนอกเหนือเหตุผลมาก ไม่ว่าใครจะบอกคุณยังไงแต่บอกให้ตาย ถ้าข้างในคุณไม่สปาร์คก็ไม่หาย ไปหาจิตแพทย์ก็ไม่หาย ตอนนั้นหมอวินิจฉัยว่า“คุณเป็นโรคซึมเศร้า” เป็นอาการทางสมองซึ่งเกิดจากฮอร์โมนผิดปกติ แล้วหมอก็ให้กินยา เรื่องนี้อุ้มไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลยแต่ตอนนี้ที่เล่าเพราะมันผ่านมานานมาก จนมองกลับไปรู้สึกตลกกับมันได้แล้ว แต่ตอนนั้นไม่ตลกเลยนอนเท่าไรก็ไม่หลับบางครั้งไม่ได้นอน 2 วัน จนกลัวการเข้านอนไม่อยากให้ถึงกลางคืน แต่พอตอนเช้าก็กลับไม่อยากลุก นอนมองเพดานอยู่อย่างนั้น สุดท้ายก็ต้องปลุกตัวเองขึ้นมาแต่งตัวไปทำงานจนได้
ตอนหมอบอกว่ามีอาการทางจิต ยอมรับไหมว่าตัวเองเป็น ?
ไม่อยากยอมรับก็ต้องยอมมันเหมือนคนจมน้ำ ตะเกียกตะกายร้องขอความช่วยเหลือ พอเห็นทางรอดก็ต้องรับไว้ หมอบอกก็ต้องเชื่อให้กินยาก็กินเพราะอยากหาย อีกอย่างก็ไม่มีที่พึ่งอื่นแล้วนอกจากหมอ ตอนนั้นเราคิดว่ามันอาจเป็นอาการทางกายภาพเคมีในสมองของเราอาจจะเพี้ยนจริงๆ หรือไม่ก็คงเพราะสารพิษที่สั่งสมในร่างกาย ลองกินยาแต่รู้สึกว่าไม่ได้ผลยิ่งกินก็ทำให้เกิดอาการ panic attack ยาที่หมอให้มีหลายตัว ตอนนั้นหมอเองก็ยังตอบไม่ได้ว่าเราจะตอบสนองกับยาตัวไหนระหว่าง A B C D กินไปให้ครบทุกตัวก่อนถ้ากินยา A แล้วดีขึ้นก็โชคดีไปแต่ถ้าไม่ดีก็ต้องเปลี่ยนยา ซึ่งกว่าจะรู้ผลของยาแต่ละตัวก็ต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆอุ้มลองกินยาไป3 ตัว แต่ละตัวน่ากลัวหมด หลังกินเข้าไปแล้วรู้สึกว่าเราไม่เป็นตัวของตัวเองเหมือนเป็นการกระตุ้นหลอกชั่วคราวอาการของคนที่กินแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ที่อุ้มเป็นคือกินแล้วรู้สึก insecure รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยเป็นช่วงวิกฤติในชีวิตมากๆ แต่เมื่อเจอวิกฤติ คนเราจะมี 2 อย่างที่ทำ หนึ่งคือ ปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งกับสองคือลุกขึ้นสู้ อุ้มเลือกที่จะฮึดสู้ เริ่มจากวิ่งรอบหมู่บ้านทั้งที่ไม่อยากวิ่ง ไม่มีแก่ใจแต่ต้องฝืน เพื่อหาบางอย่างทำ วิ่งแบบไม่คิดอะไร ท่องแต่ซ้ายขวาๆ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นการทำสมาธิและวิปัสสนาอย่างหนึ่งระหว่างวิ่งบางทีความกลัวต่างๆ ก็พุ่งเข้ามา เราก็ต้องดึงตัวเองกลับไปที่ซ้าย –ขวา ซ้าย – ขวาอย่างเดียว ทำอยู่เป็นเดือนจู่ๆ ความรู้สึกกังวลมันก็หายไปไหนไม่รู้ มาตอนนี้คิดว่าคงเป็นเพราะพอเราไม่คิดอะไรโฟกัสไปที่จุดจุดเดียว มีสมาธิ สัญญาณไฟฟ้าในสมองคงทำงานเป็นระบบขึ้น
พอผ่านความซึมเศร้านั้นมาได้ก็เริ่มมีความสุขขึ้นทำอะไรได้ด้วยใจที่เป็นปกติ และอยู่ดีๆ วันหนึ่งหลังอาบน้ำเสร็จก็เกิดอาการปิ๊งมีคำถามแวบขึ้นมาว่า“เราเกิดมาทำไม” “เรามาอยู่ที่นี่ทำไม” ตั้งแต่เด็กจะถูกสอนให้ใช้ชีวิตแบบมีเหตุผลมาตลอดพอเมื่อมีคำถามเลยอยากหาคำตอบ แล้วก็มีคำถามกับตัวเองว่า สิ่งที่เราทำอยู่ใช่หนทางที่จะไปสู่ความสุขที่แท้จริงหรือไม่คำถามนี้ไม่มีใครตอบได้ เราต้องหาคำตอบด้วยตัวเองเท่านั้น เลยตัดสินใจลองไปปฏิบัติธรรมเริ่มจากไปปฏิบัติกับคุณแม่สิริกรินชัย ตอนไปปฏิบัติก็ได้เดินจงกรม นั่งสมาธิ กำหนดอิริยาบถใหญ่และย่อย เป็นคอร์สเจริญสติเพื่อสันติสุขให้มีสติอยู่กับปัจจุบันขณะรู้ว่าอะไรมากระทบ สิ่งที่ได้คือรั้วกั้นภัย จากที่ใช้ชีวิตลอยๆมีอะไรมากระทบก็ไม่เคยรู้เท่าทัน ก็ได้รู้มากขึ้น ปฏิบัติกับคุณแม่สิริอยู่ประมาณสามปีแต่ยังมีคำถามเหมือนเรายังไม่เข้าใจข้างในลึกๆ ของตัวเอง การรู้เท่าทันมันก็ดี เรามีรั้วกั้น แต่ถ้าข้างในไม่ดีก็เหมือนเราสร้างรั้วขึ้นมาขังความชั่วร้ายไว้แทน
มีวันหนึ่งขับรถไปชลบุรีไปหาพี่ที่รู้จักคนหนึ่งพี่เขาบอกว่าขับมาตามถนนใหญ่ ตรงมาเรื่อยๆ เลย แต่แทนที่เราจะขับไปตามนั้นระหว่างทางหันไปเห็นทางเลี้ยวคิดไปเองว่าคงจะเป็นทางนี้แล้วเลี้ยวเลยปรากฏว่าผิดทางหลงอยู่นานมากทั้งๆที่ทางตรงไปก็ไม่ได้ยากเย็นพอกลับมาถึงถนนใหญ่ได้ ประสบการณ์ที่เลี้ยวผิดทำให้ได้คิดเลยตั้งจิตอธิษฐานว่าหลังจากนี้ต่อไปขอให้เจอการปฏิบัติที่ถูกต้อง “ขอให้เจอครูบาอาจารย์ที่ตรงกับจริตจะได้ไม่ต้องเสียเวลาอีก” อธิษฐานว่าขอให้เจอสิ่งที่เหมาะกับตัวเองที่สุดเวลาของชีวิตมีจำกัด การหลงทางก็เปรียบเหมือนการเสียเวลาในการปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นนี่เอง
หลังจากนั้นไม่นานมีพี่ที่รู้จักอีกคนโทร.มาบอกว่า“พี่ไปคอร์สของท่านโกเอ็นก้าที่กาญจนบุรีมาสัปปายะมาก มีห้องน้ำในตัว สะดวกสบายมาก” (สัปปายะ แปลว่า สิ่งที่เหมาะกัน ซึ่งเกื้อกูลสนับสนุนในการบำเพ็ญภาวนาให้ได้ผลดีโดยช่วยให้สมาธิตั้งมั่น ไม่เสื่อมมาก) แม้อยากปฏิบัติแต่ราคจริตของเราก็ยังมี การไปปฏิบัติในที่ที่ฮาร์ดคอร์ก็ไม่ไหว บางที่ยุงเยอะมากแทนที่จะไปโฟกัสกับการปฏิบัติแต่ต้องไปโฟกัสกับยุง เลยขอที่ที่สัปปายะเพื่อฝึกข้างในอย่างเดียวก่อน
จากที่เคยวิ่งหนีท่านโกเอ็นก้าก่อนหน้านี้ตอนนี้วิ่งเข้าหาแล้ว ขับรถไปกาญจนบุรีเอง ไปแบบไม่รู้อะไรเลย ท่านโกเอ็นก้าเป็นใครก็ยังไม่รู้ไปถึงได้ฟังเสียงสวดของท่านจากเทป ก็ยังรู้สึกว่าเสียงของท่านแปลกๆ ตลอดระยะเวลา 12 วันปฏิบัติด้วยการนั่งอย่างเดียววันแรกเป็นการอานาปานสติ ฝึกดูลมหายใจเพื่อให้จิตมีกำลัง อีกอย่างแต่ละคนก็มาจากต่างที่จิตยังหยาบเกินกว่าจะเห็นเวทนา สามวันแรกเป็นการอานาปานสติอย่างเดียว พูดได้เลยว่าแทบบ้าเมื่อยมากๆ แต่ทุกวันจะมีธรรมะบรรยายตอนเย็นบอกว่า ที่เราทำไปตอนกลางวันนั้น การเกิดสภาวะต่างๆมันคืออะไร เข้าวันที่ 4 เริ่มวิปัสสนา หลังจบวิปัสสนาเข้าห้องนอนแล้วอุ้มร้องไห้เลยร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งเปล่าค่ะมันปวดมาก (หัวเราะ) เกิดมาไม่เคยปวดตามร่างกายขนาดนี้มาก่อน โดยเฉพาะตามข้อต่อเหมือนจะหลุดออกมาเดินโซเซกลับไปที่ห้อง ถามตัวเองว่ามันคืออะไร ทำไมทรมานขนาดนี้ ความรู้สึกก่อนจะเดินเข้าห้องปฏิบัติวันต่อมาเหมือนออกไปรบแต่พอทำไปเรื่อยๆ เริ่มรู้สึกดี แม้จะเป็นวิธีที่ยากมาก แต่ก็ได้เรียนรู้อะไรเยอะมากมันไม่ใช่การนั่งสมาธิ แต่คือวิปัสสนา แปลตามตัวคือ การเห็นตามความเป็นจริงซึ่งต่างจากสมาธิสมาธิคือความตั้งมั่นแห่งจิต เป็นการโฟกัสกับอย่างใดอย่างหนึ่ง วิปัสสนาตามวิธีของท่านโกเอ็นก้าคือการเคลื่อนความสนใจดูเวทนาที่เกิดขึ้นกับร่างกาย เพื่อให้สังขารเดิมมันออกมาแล้วนั่งดูไป
ชีวิตก่อนหน้านี้เวลามีอะไรเกิดขึ้นเราตอบโต้ นั่งๆ ไปพอเมื่อยก้นเราขยับ เราไม่รู้ว่านั่นคือการหนีทุกข์ วิปัสสนาทำให้เราเห็นตามความเป็นจริงเห็นการเกิดขึ้นตั้งอยู่ แล้วดับไป นี่คือวิธีการสอนของท่านโกเอ็นก้า เราบอกว่านั่งแล้วปวดหลังเพราะโรคเก่ากำเริบแต่ไม่ใช่นั่นคือสังขารที่ออกมาแล้วเราตอบโต้มันต่างหาก บางคนคิดตลอดเวลาว่าเมื่อไรมันจะหายไปเมื่อไปคิด เราก็จะสร้างปฏิกิริยาใหม่ขึ้นไปตอบโต้ เลยเป็นอยู่อย่างนั้นไม่จบ วันที่เข้าใจคำว่าอุเบกขาเป็นชั่วโมงอธิษฐานซึ่งต้องนั่งแบบห้ามขยับตัวตลอด 1 ชั่วโมง ปวดขาแทบทนไม่ไหวเจ็บเหมือนขาจะไหม้เป็นจุณ ด่าว่าฉันเกลียดแกไอ้ความเจ็บปวด เรียนจบวันแรกอุ้มเดินไปหาอาจารย์ที่สอนแล้วถามว่า“อาจารย์คะ หนูกลัวมากเลยค่ะเคยมีคนตายจากการวิปัสสนาไหมคะ”
คนที่เคยเล่นเกมน่าจะนึกภาพตามได้ภาพที่อุ้มเห็นตอนนั่งมันเหมือนอยู่ในอวกาศ แล้วมียานของศัตรูลอยมา เราต้องใช้ปืนยิงศัตรูตัวลูกนี้เพื่อไปเจอตัวแม่พอนั่งไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเห็นตัวแม่ที่อยู่ข้างในซึ่งลึกมาก ภาพมันเริ่มชัดเจนมากขึ้นในวันต่อๆมา จนในที่สุดเริ่มรู้ว่าจริงๆ แล้วจิตของคนมันใสสว่าง สงบ และสะอาดมาก เหมือนที่เขาเรียกว่าจิตประภัสสรแต่เราเองนี่แหละที่ไปทำร้ายมันด้วยการใส่สิ่งปรุงแต่งและความสกปรกชั่วร้ายลงไป เดี๋ยวก็เกลียดคนนั้นเดี๋ยวก็ว่าคนนี้ เดี๋ยวก็รัก เดี๋ยวก็อิจฉา ดวงแก้วที่ใสสว่างนั้น เรานี่แหละที่เป็นคนเอาดินไปพอกไว้เมื่อปฏิบัติก็เริ่มเห็นโทสะ เห็นจิตที่หยาบมาก แต่เมื่อเราค่อยๆ ปอกออกไปทีละชั้นๆก็จะเริ่มเห็นแสงรำไรข้างในสิ่งที่เคยผูกเป็นปมก็จะค่อยๆ คลายและสลายตัวไป
ก่อนไปปฏิบัติธรรมเวลาเจอปัญหา ใครทำให้โกรธ เราระงับใจตัวเองได้ว่าไม่โกรธๆ ไม่เคยขึ้นเสียงกับลูกน้องจนคนบอกว่าอุ้มใจเย็น จริงๆ แล้วข้างในโกรธนะ แต่เราคุมได้ ไม่ระเบิดใส่ใคร อุ้มคิดว่าหลายคนก็เป็นไม่ค่อยโกรธ แต่นานๆ ทีก็ปล่อยออกมาแรงๆ เคยสงสัยมาตลอดว่าความโกรธเหล่านั้นมันหายไปไหนพอมาปฏิบัติธรรมถึงรู้ว่าเราซ่อนมันไว้ข้างใน มันไม่ได้หายไปไหนหรอก แต่ความโกรธเป็นนามธรรมที่มีรูปธรรมเป็นความเจ็บปวดและร้อนใจกายตอนแรกก็คิดว่าจะจัดการยังไง แต่ตอนหลังก็คิดได้ว่าต้องdelete มันสิ ลบไปเรื่อยๆจนมันไม่เหลือในคลัง
ในคลังแห่งความโกรธเกลียด และชิงชัง เรื่องไหนที่ใช้เวลาลบนานที่สุดครับ ?
มีหลายเรื่องค่ะ โดยมากเป็นเรื่องที่เราใส่ใจกับมันเยอะที่สุดยิ่งใส่ใจก็ยิ่งลบยากการวิปัสสนาไม่ใช่การยิงให้เจ้าตัวที่ว่าตายนะคะแต่มันคือการทำให้มันหมดกำลังไปเองแทนที่จะไปโฟกัสที่หน้าคนที่ทำให้เราโกรธ ก็ให้กลับมาดูตัวเอง มองว่าคนคนนั้นเป็นแค่คนที่มากระตุ้นมาจุดประกายโทสะจริตของเรา พระพุทธเจ้าและท่านโกเอ็นก้าถึงสอนว่าให้กลับมาดูตัวเองและดูความจริงลองดูสิว่าเมื่อมันมีการปะทะเกิดขึ้น มันกลายเป็นปฏิกิริยาเคมีอย่างไร ความโกรธที่เคยเป็นปื้นใหญ่ๆพิจารณาไปเรื่อยๆ มันจะค่อยๆ จางลงๆ และสลายตัวไป มันต้องจัดการด้วยวิธีนี้ หลายเรื่องที่เคยคิดตอนนี้อุ้มไม่เคยคิดถึงมันอีกเลยหลายอย่างในโลกนี้อธิบายได้ด้วยธรรมะหมดนะอุ้มว่า
ปฏิบัติมาขนาดนี้ถ้าวันหนึ่งมีเรื่องมากระทบ คิดว่าตัวเองจะยังโกรธไหมครับ ?
โกรธค่ะ (ยิ้ม) เพราะตราบใดที่เรายังไม่ได้เป็นพระอรหันต์เราก็ยังมีกิเลส มีแค่พระอรหันต์เท่านั้นที่ไม่มีกิเลส อย่าคิดว่าผู้ปฏิบัติจะไม่โกรธไม่โลภ ไม่หลง เรายังมีครบทุกอย่าง เพียงแต่รู้ว่าจะไม่เพิ่มยังไงและพยายามจะชำระของเก่าให้หมดไปนี่คือสิ่งที่ผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่ทำ เทียบกับคนไม่ปฏิบัติ เราก็เพียงแค่ไม่หวั่นไหวง่ายมีสติมากขึ้น ไม่โวยวาย ไม่ตีโพยตีพาย เมื่อมีอะไรมากระทบเท่านั้น
ขอถามถึงชีวิตชาวนาบ้าง เป็นอย่างไรบ้างครับตอนนี้ ?
ธรรมะมีผลมากๆ นะคะในการไปเป็นชาวนาของอุ้มธรรมะดึงให้อุ้มกลับสู่ธรรมชาติ ปรับให้เราหาวิธีการใช้ชีวิตที่จริงขึ้นเรื่อยๆ มีการคัดกรองสิ่งที่ทำอยู่ว่ามันดีจริงหรือเปล่านาไร่เดียวได้ข้าวเปลือก 350 กิโล สีแล้วได้สองร้อยกว่ากิโลเก็บกินได้จนถึงฤดูหน้าเลย อุ้มเพิ่งขายข้าวไปได้ประมาณ 5,000 บาท ตอนแรกกะจะเอาไว้กินแต่มันเหลือเยอะเลยไปคุยกับทางเลมอนฟาร์ม เขาก็ช่วยขายให้ ถามว่าคุ้มกับต้นทุนไหม ไม่เลยแทบไม่พอค่าน้ำมันและค่าแรงที่ทั้งไปทำนาแบกข้าวไปสี แบกข้าวขึ้นรถ แต่สิ่งที่ได้ไม่ใช่เป็นเงินมันคือประสบการณ์ชีวิต เทียบกับวิชาความรู้ที่ได้มันคุ้มมากๆ
ถ้ามีคนถามว่าเป็นทำไมชาวนา เป็นแล้วได้อะไร ?
เป็นชาวนาเพื่อให้มีข้าวที่ปลอดภัยกินค่ะเพื่อรู้จักตัวเอง พอมาเป็นชาวนาแล้วอุ้มรู้สึกว่าตัวเองเข้มแข็งขึ้นเยอะมาก ไม่อ่อนแอเหมือนแต่ก่อนสมัยก่อนทั้งร่างกายและจิตใจเราอ่อนแอหมด ธรรมะและเกษตรอินทรีย์สอนให้อุ้มเข้มแข็งขึ้นมากเหมือนได้ฝึกการใช้ชีวิตในชีวิตจริงเราจะนั่งอยู่แต่ในห้องปฏิบัติในสถานปฏิบัติธรรมไม่ได้หรอกนั่นแค่ห้องเรียนยังไงคุณก็ต้องออกมาใช้ชีวิต การเป็นชาวนามันสอดคล้องกับการปฏิบัติธรรม หากวันหนึ่งต้องเลือกว่าจะทำอะไรเพียงอย่างเดียวในชีวิตหรือต้องเลือกว่าจะทำอะไรที่มีธรรมะที่สุด อุ้มขอเลือกเป็นชาวนา เพราะมันไม่หลอกหลวงมันเป็นความจริงที่สุด เป็นอาชีพที่ซื่อสัตย์ที่สุด ไม่ฆ่าและไม่เบียดเบียนใคร
ทราบว่าวางเป้าหมายในชีวิตไว้ที่นิพพาน ?
ค่ะ ปฏิบัติไปเรื่อยๆแต่รู้แล้วว่ามีเป้าหมายในชีวิตอย่างไรและกำลังจะเดินทางไปไหน ไม่ได้รีบ ไม่ได้ไปแบบมีคำถามว่าเมื่อไรจะถึงเสียทีหรือไปด้วยความทะยานอยากก็เดินทางไป รู้ว่าต้องไปทางนี้ นิพพานคือการไม่เกิดอีก ไม่ว่าในภพภูมิไหนในวัฏสงสารถ้าไม่หลุดพ้นจากวัฏสงสาร เราก็จะไปเกิดเป็นนู่นนี่อีก การเกิดคือทุกข์ ถ้าไม่อยากทุกข์ก็ไม่ต้องเกิดและหนทางเดียวที่ไม่ต้องเกิดอีกคือหมดจดจากกิเลสอย่างพระอรหันต์หรือพระพุทธเจ้า จิตสุดท้ายของท่านคือดับไปเลยครั้งหนึ่งที่ไปปฏิบัติ อยู่ดีๆ อุ้มก็พูดขึ้นมาว่า นิพพานอยู่ตรงหน้าเรานี่เอง ไม่ใช่สภาวะที่ไกลเกินเอื้อมอยู่ที่ว่าเราจะเข้าถึงหรือเปล่าเท่านั้น จริงๆ แล้วในสภาวะที่จิตปราศจากการปรุงแต่งและพ้นจากอำนาจของกิเลสอุ้มว่าสภาวะนั้นก็เหมือนเราได้ลิ้มรสนิพพานแล้ว
ขอบคุณเนื้อหา; http://www.secret-thai.com
ขอบคุณภาพ; http://news.sanook.com/gallery