ปลุกคนไทยตื่นตัวเร่งป้องกันเด็กไทยอ้วนเสี่ยงโรค NCDs พุ่ง 4 เท่า
กรมควบคุมโรค ร่วมกับ สมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อไทย ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเสวนา เรื่อง วันอ้วนโลก: ทุกคนต้องลงมือแก้ไข http://winne.ws/n28733
ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค ร่วมกับ สมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อไทย ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเสวนา เรื่อง วันอ้วนโลก: ทุกคนต้องลงมือแก้ไข เนื่องจากวันที่ 4 มีนาคม ของทุกปีในวันอ้วนโลก ซึ่งปีนี้ใช้แคมเปญว่า “World Obesity Day: Everybody Needs to Act”
ศ.พญ.ลัดดา เหมาะสุวรรณ กรรมการบริหารสมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อไทย กล่าวว่า สถานการณ์โรคอ้วนในเด็ก จากผลการสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรี (MICS) ใน พ.ศ. 2562 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) และองค์การยูนิเซฟ (UNICEF) ประเทศไทย พบว่า เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี มีภาวะอ้วนและโรคอ้วนเพิ่มขึ้นจากปี 2561 ร้อยละ 8.8 เพิ่มเป็นร้อยละ 9.2 ในปี 2562 ข้อมูลกระทรวงสาธารณสุข พบว่า เด็กอายุ 6-14 ปี มีภาวะอ้วนและโรคอ้วน เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 11.7 ในปี 2561 เพิ่มเป็นร้อยละ 12.4 ในปี 2564 ซึ่งในกลุ่มนี้ตั้งเป้าภายในอีก 3 ปี ต้องลดภาวะเด็กอ้วนไม่เกินร้อยละ 10 นอกจากนี้ เด็กอายุ 10-14 ปี ที่มีภาวะอ้วนร้อยละ 8 มีความเสี่ยงโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โดยโรคอ้วนในเด็กส่งผลกระทบต่อสุขภาพทางกายในกรณีที่มีน้ำหนักมาก ทำให้ข้อผิดปกติ เช่น ขาโก่ง ขากาง การเคลื่อนไหวช้า คุณภาพการนอนไม่ดี เกิดภาวะนอนกรนจนหยุดหายใจ ปัญหาด้านพัฒนาการ ระบบการหายใจ หัวใจ และโรคภัยที่จะตามมาไม่ต่างจากผู้ใหญ่ ซึ่งกลุ่มเด็กที่อ้วน จะมีเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) มากกว่าในปกติถึง 4 เท่าตัว
ศ.พญ.ลัดดา กล่าวต่อว่า การแก้ไขปัญหาต้องควบคุมการบริโภคอาหารให้เหมาะสม ลดหวาน มัน เค็ม หมั่นเคลื่อนไหวร่างกาย มีพัฒนาการตามวัย สำหรับอาหารที่แนะนำหากเป็นทารก นมแม่ดีที่สุด เพราะช่วยลดความเสี่ยงเบาหวานร้อยละ 35 และลดเสี่ยงโรคอ้วนร้อยละ 13 ส่วนเด็กเล็กควรหลีกเลี่ยงการปรุงแต่งรสชาติ ดื่มน้ำสะอาด นมจืด ไม่สอนให้กินน้ำอัดลม และสามารถฝึกกินผักให้เป็นนิสัยโดยเริ่มจากครอบครัวต่อเนื่องไปยังโรงเรียน อาหารจะต้องไม่หวาน มัน เค็มจัด หลีกเลี่ยงผลไม้หวานจัด หรือน้ำอัดลม ซึ่ง สสส. และหน่วยงานต่างๆ หากลไกเครื่องมือในการช่วยพ่อแม่ผู้ปกครอง เช่น เลือกสัญลักษณ์โภชนาการอาหารทางเลือก (Healthier choice) เครื่องมือใช้ช่วยตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อลดการบริโภคน้ำตาล โซเดียม และไขมัน และแอปพลิเคชัน Food Choice ตัวช่วยของพ่อแม่ในการดูแลอาหารขนมของเด็ก
ผศ.ดร.ปิยวัฒน์ เกตุวงศา ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย (TPAK) สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ปัจจุบันปัญหาโรคอ้วนในเด็กไม่ได้เกิดขึ้นมาจากการส่งต่อทางกรรมพันธุ์อีกต่อไป แต่เกิดจากการส่งต่อของพ่อแม่ในการเลี้ยงดู รวมถึงสิ่งแวดล้อม สถานที่เรียน สังคมที่หล่อหลอม ทำให้เด็กอ้วนมีพฤติกรรมเสี่ยง 3 เรื่อง คือ การกิน การเล่น สุขภาพจิตและการพักผ่อน ที่ไม่สมดุลซึ่ง 3 ประเด็นนี้ต้องร่วมกันทำงานอย่างบูรณาการเพื่อไม่ให้ปัญหารุนแรงบานปลายเป็นผู้ใหญ่อ้วนที่มีโรครุมเร้า ทุกคนควรให้ความร่วมมือลงมือแก้ไขในทุกระดับ ทั้งภาคการปฏิบัติเชิงนโยบายการวางแผน บุคลากรที่ทำงานเกี่ยวข้องปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ ชุมชน และครอบครัว โดยกลุ่มเด็กอ้วนที่ควรให้ความสำคัญในการแก้ปัญหามากที่สุด คือ เด็กอ้วนในครอบครัวที่มีรายได้น้อยถึงปานกลาง ซึ่งผู้ปกครองที่มีความรอบรู้การดูแลสุขภาพน้อย ต้องการความช่วยเหลือมากกว่ากลุ่มอื่นๆ ถือเป็นความเหลื่อมล้ำที่คนรายได้น้อยเพราะเข้าถึงอาหารสุขภาพได้ยาก ซึ่งโรคอ้วนในเด็กทำให้เห็นความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยชัดเจน ขณะเดียวกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังทำให้สถานการณ์โรคอ้วน ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลง ต้องกักตัวอยู่ที่บาน การใช้ชีวิตอยู่หน้าจอ การกินโดยไม่รู้ตัว ล้วนทำให้มีความเสี่ยงเกิดโรคอ้วนทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก
อ่านข่าวเพิ่มที่ บ้านเมือง