สิงคโปร์เตรียมยกระดับกลับมา Work from Home อีกครั้ง
ล่าสุดสิงคโปร์พบผู้ป่วยเพิ่มอีก 1,443 ราย โดยเป็นการติดเชื้อในประเทศ 1,424 ราย และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 3 ราย http://winne.ws/n28182
จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในประเทศสิงคโปร์ (26 ก.ย. 2564) มีแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง มีผู้ป่วยอาการหนักที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลจำนวน 1,142 ราย โดยในจำนวนนี้มี 165 ราย ที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ และอีก 27 ราย อยู่ในห้อง ICU ซึ่งผู้ป่วยอาการหนักส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 60 ปี ซึ่งจากข้อมูลผู้ป่วยจำนวน 326 ราย ที่จำเป็นต้องให้ออกซิเจนนั้น พบว่า มี 52.9% เป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนครบแล้ว และส่วนที่เหลืออีก 47.1% เป็นผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีน หรือเคยได้รับมาเพียง 1 เข็ม
กระทรวงสาธารณสุขของสิงคโปร์รายงานว่า ในขณะนี้ มีประชากรชาวสิงคโปร์ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้วจำนวนกว่า 82% และมีประชากรราว 87% ที่ได้รับวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม และยังคงเดินหน้าฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดยได้มีการขยายเพิ่มกลุ่มอายุ 50-59 ปี ที่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มนานเกิน 6 เดือนแล้ว เข้ารับวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 เพื่อป้องกันการระบาดในครั้งนี้ด้วย
หลังจากสถานการณ์การระบาดกลับมาเพิ่มสูงขึ้น และยังคงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มากกว่าการระบาดในระลอกแรกเมื่อช่วงเดือน เมษายน 2563 ทำให้สิงคโปร์ต้องกลับมาพิจารณาการยกระดับมาตรการป้องกันโควิด-19 อีกครั้ง เนื่องจากคาดว่า ถ้าไม่มีการปรับเปลี่ยนมาตรการ จะทำให้สิงคโปร์มีผู้ป่วยเพิ่มสูงถึงวันละกว่า 3 พันราย และจะทำให้ระบบสาธารณสุขของสิงคโปร์เผชิญกับปัญหาเพิ่มมากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายลง ทำให้ทางการต้องสั่งเพิ่มมาตรการ โดยเริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ( 27 ก.ย.) ไปจนถึงวันที่ 24 ต.ค. 2564 ตามมาตรการดังต่อไปนี้
โดยทางการสิงคโปร์ได้ได้สั่งลดการรวมตัวจาก 5 คนเป็นเหลือเพียง 2 คน ยกเว้นในกรณีที่เป็นบุคคลในครบอครัวเดียวกัน เช่น ปู่ย่า-ตายาย ที่มีความจำเป็นต้องดูแลหลาน
นอกจากนี้ การรวมตัวรับประทานอาหารภายนอกนั้น ผู้ที่นั่งร่วมกันจะต้องได้รับวัคซีนแล้วทั้งสองคน หากไม่ได้รับวัคซีนจะต้องมีผลตรวจยืนยันที่ไม่มีเชื้อโควิด-19 ในขณะเดียวกัน การโดยสารรถแท็กซี่ หรือรถยนต์ส่วนบุคคล ถูกจำกัดผู้โดยสารภายในรถเพียง 2 คนเท่านั้น สำหรับบริษัท/สถานประกอบการที่สามารถให้พนักงานทำงานจากที่บ้านได้ ก็ให้มีการปรับชั่วโมง – เวลาการทำงาน รวมถึงการทำงานที่บ้านแทนการมายังสถานที่ประกอบการ ซึ่งหากผู้ที่ไม่สามารถทำงานที่บ้านได้ จำเป็นจะต้องมีผลการตรวจ ATK ว่าไม่พบเชื้อ และมีการตรวจหาเชื้อในทุกสัปดาห์
ขอบคุณเนื้อหาและอ่านข่าวเพิ่มที่ MTHAI