หน้ากากสังคม
มีหลายคนที่แยกไม่ออกระหว่างการใส่หน้ากากสังคมกับการมีมารยาททางสังคม http://winne.ws/n28133
การไม่ใส่หน้ากากนั้นใครรับได้ก็โอเค รับไม่ได้ก็ช่างเขา แต่อย่าลืมว่าเป็นมารยาทสังคม
เป็นการป้องกันสิ่งน่ารังเกียจของตนเอง เพราะอะไรที่ออกมาจากตัวของเราเองนั้น เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจทั้งสิ้น เช่น น้ำลาย น้ำมูก เหงื่อไคล ขี้เล็บ
ลองนึกดูว่าถ้ามีคนมาแค่ขี้มูกในที่สาธารณะชนจะเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม จะเป็นที่น่ารังเกียจแก่คนที่เห็น ดังนั้นต้องป้องกันการกระทำของเรา ไม่ทำให้คนอื่นเขาไม่สบายใจ หรือทำให้เขารู้สึกอึดอัด แม้แต่เป็นผู้ใหญ่ก็จะต้องมีการอบรมเรื่องมารยาทสังคม
เช่น ในพระพุทธศาสนาการบวชพระก็มีพระวินัย ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สอนเรื่องศีล อาจาระ ซึ่งมีถึง 1,000 ข้อเกี่ยวกับการขบฉันการห่มผ้าครองผ้า และมารยาทในการอยู่ร่วมกับคนอื่น
เพราะมารยาทสังคมนี้เอง ทำให้พระพุทธศาสนาอยู่มาได้ยาวนานถึงกว่า 2,000 ปี
แต่ถ้าหากเจอคนที่ไม่ได้ใส่หน้ากาก แล้วบอกว่าฉันไม่สน ฉันไม่แคร์ ฉันเป็นตัวของฉันเอง คือ คนที่ไม่มีหน้ากากสังคม
คนที่มีมารยาทสังคมจะดูดี ดูสง่า น่าศรัทธา น่าเลื่อมใส ซึ่งมีผลต่อหน้าที่การงาน ใครได้อยู่ใกล้ชิดก็จะเห็นว่าคนเหล่านี้สามารถเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน เพราะมีการวางตัวที่ดี ไม่ว่าอยู่ใกล้ชิดใคร คนนั้นก็จะเป็นที่รัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกมารยาทกับผู้ใหญ่ รู้จักกาละเทศะรู้จักว่าสิ่งใดพูดและสิ่งใดไม่ควร พูดเมื่อไหร่ และตอนไหน ค่อยๆเรียนและสังเกตไป
ทำให้ตัวเองจะเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงานได้ แค่มองตาก็รู้ใจในหมู่เพื่อนฝูง ก็จะไม่กระทบกระทั่งคนอื่น อยู่กับคนผู้น้อยก็จะเป็นที่รัก เพราะทุกคนก็จะยอมรับและอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข เรื่องมารยาทนั้นก็ฝึกไป เมื่อฝึกตัวไปก็จะพบสุขและความสำเร็จและความก้าวหน้า
ติดตามรับชมย้อนหลังได้ที่ : https://youtu.be/HzYvH8buNPE