"อานิสงส์การบวช" ที่พระเจ้าอชาตศัตรูทูลถามพระพุทธเจ้า

.พระเจ้าอชาตศัตรูทูลถามพระพุทธเจ้า ถึงผลที่จะได้จากการบวชของกุลบุตรในพุทธศาสนา .. http://winne.ws/n26267

3.0 พัน ผู้เข้าชม
"อานิสงส์การบวช" ที่พระเจ้าอชาตศัตรูทูลถามพระพุทธเจ้า

     ในสามัญญผล  ได้กล่าวถึงการถาม-ตอบปัญหาระหว่างพระพุทธเจ้า และพระเจ้าอชาตศัตรู ในเรื่องผลจากการให้กุลบุตรออกบวชในพระพุทธศาสนา คือ 


พระเจ้าอชาตศัตรูทูลถามพระพุทธเจ้าว่า : 

 "บุคคลในโลกนี้เขามีอาชีพแตกต่างกัน เป็นทหาร เป็นข้าราชการ เป็นคหบดี มีอาชีพเป็นช่างต่างๆเป็นชาวนา เป็นชาวไร่ ชาวสวน หรืออาชีพช่างไม้ต่างๆบุคคลที่ประกอบอาชีพเหล่านี้ เมื่อประกอบอาชีพแล้วก็สามารถจะสร้างตัวได้ เลี้ยงตัวได้ในปัจจุบัน แล้วก็มีเงินทองเลี้ยงดูบุตรภรรยาของตน และก็ทำบุญทำทาน ก็มีโอกาสไปเกิดบนสวรรค์ อยากจะถามว่า ในพระพุทธศาสนานี้ พระองค์ตรัสความเป็นสามัญผล คือ ผลที่จะได้จากการบวชของกุลบุตรในศาสนานี้ไว้อย่างไรบ้าง"

 พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า : 

"ผู้ที่บวชเข้ามาในศาสนานี้ย่อมได้อานิสงส์ถึง ๑๔ ประการ" สามัญญผล ๓ หมวด สามัญญผล หรือ ผลของความเป็นสมณะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้นี้ สามารถจัดออกได้เป็น ๓ หมวด คือ

           หมวดที่ ๑ ทำให้พ้นจากฐานะเดิม คือ พ้นจากความเป็นทาส เป็นกรรมกร เป็นชาวนา ได้รับการปฏิบัติดีแม้จากพระมหากษัตริย์ นี้ คือ ผลข้อที ๑ และข้อที่ ๒

          หมวดที่ ๒  เมื่ออบรมจิตใจเป็นสมาธิ เป็นเหตุให้ได้ฌานที่ ๑ ถึงที่๔ อันทำให้กิเลสอย่างกลางสงบลงได้ คือ ผลข้อที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ และที่ ๖

           หมวดที่ ๓  ทำให้ได้วิชชา ๘ เริ่มตั้งแต่ข้อที่ ๗ คือ ได้วิปัสสนาญาน จนถึงข้อที่ ๑๔ คือ อาสวักขยญาณ

 

          พระพุทธองค์ตรัสถามพระเจ้าอชาตศัตรูว่า : 

     "ก็คนที่เป็นทาสกรรมกรของพระองค์ เคยรับใช้พระองค์อยู่ ตื่นก่อนนอนทีหลังทาสกรรมกรเหล่านั้นมาพิจารณาว่า พระมหากษัตริย์เจ้านายของเรานี้ทรงมีบุญญาธิการ มีบุคคลแวดล้อม มีทรัพย์สินนานัปการ มีอำนาจยิ่งใหญ่ พระองค์ก็เป็นมนุษย์ เราก็เป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้น เราจะต้องออกบวชเสียดีกว่า เมื่อออกบวชแล้ว ประพฤติพรหมจรรย์ ต่อมาพระองค์ได้พบทาสกรรมกรของพระองค์นั้น พระองค์จะเรียกบุคคลนั้นให้มาทำงานรับใช้พระองค์ ให้ตื่นก่อนนอนทีหลังอีกหรือเปล่า "

พระเจ้าอชาตศัตรูทูลตอบว่า :

     "ไม่อย่างนั้น แต่ข้าพระองค์จะเคารพกราบไหว้ผู้นั้น ให้ความคุ้มครองตามธรรม"พระพุทธองค์ตรัสว่า : นี่แหละคืออานิสงส์ของการบวชข้อที่ ๑ ที่เห็นได้ชัดในปัจจุบัน

           ต่อจากนั้นพระพุทธองค์ตรัสว่า  "มีคนที่ทำนาของพระองค์ มาพิจารณาว่า พระเจ้าแผ่นดินของเรามีอำนาจวาสนามีบุญใหญ่ พระองค์ก็เป็นมนุษย์ เราก็เป็นมนุษย์ ไฉนหนอ เราจึงจะได้ออกบวชประพฤติพรหมจรรย์ และในที่สุด ท่านผู้นั้นก็ได้ออกบวชประพฤติพรหมจรรย์ เมื่อพระองค์ทรงพบภิกษุที่เคยเป็นชาวนานั้นเข้า จะตรัสเรียกท่านผู้นั้นให้มาทำนาให้แก่พระองค์อีกหรือ ?"

พระเจ้าอชาตศัตรูทูลตอบว่า"   

     ไม่อย่างนั้น แต่ข้าพระองค์จะเคารพกราบไหว้ ให้ความคุ้มครอง ถวายปัจจัย ๔  ให้การคุ้มครองด้วยความเป็นธรรมแก่ผู้นั้น"พระพุทธองค์ตรัสว่า : นี่เป็นสามัญญผล คือ ผลที่เห็นได้ชัดจากการบวชข้อที่ ๒

 

          

"อานิสงส์การบวช" ที่พระเจ้าอชาตศัตรูทูลถามพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าจึงตรัสต่อไปว่า 

     คหบดีหรือ กุลบุตรในแว่นแคว้นของพระองค์นี้ มาพิจารณาเห็นว่า พระเจ้าแผ่นดินของเรานั้นเพียบพร้อมไปด้วยความสุข มีความรุ่งเรือง ก็เรานี้เห็นว่าการครองเรือนเต็มไปด้วยความทุกข์ เป็นที่คับแคบ ส่วนบรรพชาเป็นช่องว่าง การที่อยู่ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์สะอาดดุจดั่งสังข์ขัดนั้นทำได้ยาก 

     เพราะฉะนั้น เขาจึงออกบวช ประพฤติพรหมจรรย์ สมบูรณ์ไปด้วยศีลคือ จุลศีล มัชฌิมศีล และมหาศีล (คือ ศีลขนาดเล็ก ขนาดกลาง และศีลมาก) ต่อจากนั้นภิกษุนั้นสำรวมอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีสติสัมปชัญญะ ละบาปอกุศล มีสันโดษ ยินดีด้วยปัจจัย ๔ ออกป่าบำเพ็ญสมาธิ ละนิวรณ์ ๕ ได้ ในที่สุดก็ได้บรรลุฌานที่ ๑ ได้ประสบความสุขอันเกิดจากฌานนี้ คืออานิสงส์ของการบวช หรือสามัญญผล ข้อที่ ๓ต่อจากนั้น  ท่านผู้นั้นก็บำเพ็ญสมาธิจนบรรลุฌานที่ ๒ ก็เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๔บรรลุฌานที่ ๓ ก็เป็นอานิสงสข้อที่ ๕บรรลุฌานที่ ๔ ก็เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๖ต่อจากนั้น  ท่านก็น้อมจิตไปเพื่อเจริญวิปัสสนา

        โดยพิจารณาพระไตรลักษณ์ จนจิตของตนเข้าถึงวิปัสนาญาน แยกรูปแยกนาม พิจารณานามรูป เห็นตามความเป็นจริง ก็เป็นเหตุให้ท่านผู้นั้นสามารถบรรลุญาณทัสสนะ อันเป็นวิปัสสนาญาน 

พระพุทธเจ้าตรัสว่า : 

     นี้คือ อานิสงส์ของการบวชข้อที่ ๗ต่อจากนั้น  ก็สามารถบรรลุ มโนมยิทธิ คือ ฤทธิ์ทางใจ นิรมิตกายอื่นจากกายนี้ได้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๘ ต่อจากนั้น ก็ได้บรรลุ อิทธิวิธิ คือ แสดงฤทธิ์ เช่น น้อยคนทำให้เป้นมากคน ดำไปในดิน ดำไปในน้ำได้ก็เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๙เมื่อปฏิบัติต่อไป ก็สามารถได้ ทิพโสต คือ หูทิพย์ ได้ยินเสียงจากที่ไกลเกินวิสัยของหูมนุษย์ธรรมดาเป็นอานิสงส์ข้อที่ ๑o เมื่อปฏิบัติต่อไป ก็สามารถได้ เจโตปริยญาน คือ รู้ใจคนอื่น คือ สามารถทายใจคนอื่นได้ (แม้ในปัจจุบันก็มีพระบางรูปที่สามารถรู้ใจคนอื่นได้ เรียกว่า เจโตปริยญาน) การได้เจโตปริยญาณเป็นอานิสงส์ข้อที่ ๑๑ บางท่านก็ระลึกชาติได้ ที่เรียกว่า บุพเพนิวาสานุสสติญาน คือ ระลึกชาติหนหลังได้เป็นจำนวนมาก อาจจะเป็นจำนวนหลายๆชาติ หรือชาติจำนวนมากที่ผ่านมาในอดีต 

          การระลึกชาติหนหลังได้นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๑๒ บางท่านก็ได้ทิพจักษุ หรือ จุตูปปาตญาณ คือ ญาณรู้จุติกำเนิดของสัตว์ทั้งหลาย คือ สามารถรู้เห็นสัตว์ทั้งหลายที่เกิดและที่ตายด้วยตาทิพย์ การได้ทิพจักษุนี้ เป็นอานิสงส์ของการบวชข้อที่ ๑๓ ในที่สุดก็ได้บรรลุอาสวักขยญาณ คือ ทำกิเลสให้สิ้นไป ก็เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๑๔

     พระพุทธองค์ทรงสรุป ในที่สุดแห่งทุกข้อว่า เป็นผลแห่งความเป็นสมณะที่เห็นได้ในปัจจุบันว่าสูงกว่ากันไปตามลำดับ คือ ตั้งแต่ขั้นแรกแล้วบรรลุสูงขึ้นๆ ไปตามลำดับ ซึ่งเป็นอานิสงส์ของการบวช ที่เห็นได้ชัด  เช่น ผู้ที่ได้บรรลุฌานที่ ๒ ก็ประเสริฐกว่าฌานที่ ๑ ได้บรรลุฌานที่ ๓ ประเสริฐกว่าฌานที่ ๒ ได้บรรลุฌานที่ ๔ ประเสริฐกว่าฌานที่ ๓ และการบรรลุต่อๆ ไปก็สูงขึ้น ตามลำดับ


 วิชชา ๘ คืออะไร?

วิชชา ๘ ก็คือ

๑) วิปัสสนาญาณ    ญาณอันนับเข้าในวิปัสสนา

๒) มโนมยิทธิ    ฤทธิ์ทางใจ

๓) อิทธิวิธิ     แสดงฤทธิ์ได้

๔) ทิพโสต    หูทิพย์

๕) เจโตปริยญาณ   รู้ใจคนอื่น

๖) ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ  ระลึกชาติได้

๗) ทิพยจักขุ    ตาทิพย์

๘) อาสวักขยญาณ   ทำอาสวะ คือ กิเลสให้สิ้นไปได้


ข้อมูล : dmycenter

แชร์