พระวิมลาเถรี
พระวิมลาเถรี อดีตหญิงโสเภณีที่ฟังธรรมจากพระมหาโมคคัลลานะ จนเกิดความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย และบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ในที่สุด... http://winne.ws/n26251
พระมหาโมคคัลลานะ สอนหญิงโสเภณีที่มายั่วยวน
วันหนึ่ง “พระมหาโมคคัลลานะ” ออกรับบิณฑบาตอยู่ในเมืองเวสาลี มีหญิงสาวโสเภณีนางหนึ่งหน้าตางดงาม เธอชื่อ “วิมลา” เมื่อเห็นพระโมคคัลลานะแล้วจิตเกิดปฏิพัทธ์ จึงเดินติดตามพระเถระไปถึงที่อยู่ เมื่อเห็นพระเถระอยู่รูปเดียว จึงได้โอกาสเข้าไปพูดจาและแสดงท่าทางอาการยั่วยวน พระเถระไม่หวั่นไหวและรู้ทันความประสงค์ จึงกล่าวเตือนหญิงโสเภณีวิมลาจนเธอได้สติว่า
กระท่อม ก็คือ ร่างกาย มีกระดูกเป็นโครงสร้าง อันฉาบทาด้วยเนื้อ ร้อยรัดด้วยเส้นเอ็น เต็มไปด้วยของไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็น น่าเกลียด คนทั่วไปพากันยึดถือ แต่สำหรับอาตมาเป็นของน่ารังเกียจ ร่างกายของเธอไม่ต่างอะไรกับถุงใส่อุจจาระ มีหนังหุ้มห่อปกปิดไว้เหมือนนางปีศาจ มีผื่นขึ้นที่หน้าอก มีช่อง ๙ ช่องให้สิ่งสกปรกไหลออกอยู่เป็นนิตย์"
ภิกษุอย่างอาตมาย่อมไม่เหลียวแลร่างกายเธอ เหมือนชายหนุ่มผู้รักความสะอาดย่อมหลบหลีกอุจจาระปัสสาวะเสียให้ไกล สำหรับคนทั่วไป หากเขาได้เข้าใจร่างกายของเธออย่างที่อาตมาเข้าใจ ต่างก็จะพากันหลีกไกล คล้ายชายหนุ่มผู้รักความสะอาดเห็นหลุมอุจจาระที่ฝนตกใส่ ย่อมหลบหลีกเสียไกล
อากาศ คือ ความว่างเปล่า ใครก็ตามที่หวังจะเอาขมิ้นหรือน้ำย้อมอย่างอื่นไปย้อมอากาศ ย่อมเหนื่อยเปล่า จิตของอาตมาว่างเปล่าเหมือนกับอากาศ มั่นคงอยู่ภายในฉะนั้น เธออย่ามาหวังความรักจากจิตที่ว่างเปล่านี้เลย เพราะจะพบแต่ความปวดร้าวเช่นเดียวกับแมลงบินเข้ากองไฟ
เมื่อนางวิมลาได้ฟังพระมหาโมคคัลลานะตำหนิแล้ว ก็เกิดสังเวชใจละอายและกลัวบาป ในขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาหาเหตุผลตามที่่พระเถระกล่าว ก็ทำให้เกิดศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เธอจึงประกาศตนเป็นอุบาสิกาเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ทั้งเลิกประกอบอาชีพโสเภณีนับตั้งแต่นั้นมา
ต่อมา เมื่อนางวิมลาอายุย่างเข้าใกล้วัยชรา เธอก็ได้สละทรัพย์สมบัติทั้งหมดแล้วออกบวชเป็นพระภิกษุณี ไม่นานเธอก็บรรลุเป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งในบวรพระพุทธศาสนา
วันหนึ่งพระวิมลาภิกษุณีได้มานั่งปฏิบัติธรรมที่โคนต้นไม้ ท่านได้บรรลุทุติยฌาน ท่านอาศัยทุติยฌานนั้นเองเป็นฐานเจริญวิปัสสนาจนกระทั่งได้บรรลุอรหัตผล หลังจากพระเถรีท่านบรรลุอรหัตผลแล้ว ได้พิจารณาดูข้อปฏิบัติของตนแล้วกล่าวถ้อยคำแสดงความรู้สึกว่า
“เมื่อก่อน เรามัวเมาอยู่กับชื่อเสียง รูปร่าง ความงาม และบริวาร เราเองเคยหยิ่งทะนงอยู่กับความสาว จึงได้ดูถูกหญิงอื่นทั้งหมด เมื่อก่อนเราตกแต่งร่างกายนี้ให้สวยงาม ด้วยการเสริมสวยต่างๆ เช่น ย้อมผิว ประทินผิวด้วยเครื่องหอมต่างๆ และเกล้าผม เป็นต้น อันทำให้เหล่าคนโง่พร่ำเพ้อหา ครั้นแล้วก็มายืนดักผู้ชายอยู่ที่ประตูสำนักหญิงแพศยา เช่นเดียวกับนายพรานดักบ่วงล่อเนื้อฉะนั้น
ณ ที่นั้น เราทำให้พวกผู้ชายได้เห็นเครื่องประดับทั้งหลายทั้งในที่ลับและในที่เปิดเผย ได้แสดงมายาเย้ายวนต่างๆ เชิญชวนชายให้ยินดีในกาม แต่มาวันนี้ เรากลับโกนศีรษะ ครองผ้าเย็บซ้อนกันเดินบิณฑบาต แล้วมานั่งเข้าณานที่ไม่มีวิตกอยู่โคนต้นไม้ บัดนี้กิเลสเครื่องผูกรัดทั้งของทิพย์และของมนุษย์ เราละได้เด็ดขาดหมดแล้ว เราขจัดกิเลสที่หมักหมมได้หมดจึงสงบเย็น”
ที่มา : เพจ พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น