แม่ครับ... บ้านเรายากจนมากเลยเหรอ ??
เมื่อไหร่ที่ลูกตัดสินคนจากวัตถุภายนอก ลูกจะมีปมด้อย...เมื่อไหร่ที่ลูกตัดสินคนจากความประพฤติ ผลการเรียน ความสามารถ ลูกก็จะไม่รู้สึกมีปมด้อยจากเรื่องวัตถุภายนอก แต่จะเน้นศึกษาคุณภาพจากตัวตนของคน http://winne.ws/n25834
"แม่ครับ บ้านเราจนมากเลยเหรอ”
.........................
ลูกๆไปโรงเรียน ย่อมมีสังคมในกลุ่มเพื่อนนักเรียนด้วยกัน อาจมีการเปรียบเทียบฐานะที่บ้านกับเพื่อนๆ จึงหนีไม่พ้นที่จะมีคำถามเหล่านี้ถามมาถึงพ่อแม่ แล้วเราจะหาคำตอบที่เหมาะสมมาตอบลูกๆอย่างไรดี
@ อย่าได้มองข้ามคำถามเหล่านี้
วันนี้ลูกคนเล็กอายุหกขวบกลับจากปาร์ตี้วันเกิดของเพื่อนร่วมชั้น ลูกมีคำถามให้ขบคิด "แม่ครับ บ้านเพื่อนร๋วยรวย บ้านหลังใหญ่เบ้อเริ่ม ยังมีบ้านพักตากอากาศที่หัวหินกะเขาใหญ่ เพื่อนบอกว่าถ้าใครยอมเชื่อฟังและยอมเป็นบริวารของเขา เขาจะพาไปเที่ยวค้างแรมกับเขา บ้านเราน่าจะมีบ้านพักตากอากาศแถวทะเลแบบเขาบ้างนะ"
ฉันจะตอบคำถามอย่างไรดี จะบอกว่าบ้านเราไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น แล้วลูกจะคิดอย่างไร จะเป็นการสร้างปมด้อยให้ลูกหรือเปล่า อับอายที่บ้านตัวเองไม่รวย หรือจะเป็นการทำให้ลูกต้องไปเอาใจเพื่อนคนรวยเป็นพิเศษหรือไม่
ฉันเงียบ ยังหาคำตอบให้ลูกไม่ได้
ลูกฉันไม่ใช่คนโง่ พอเห็นฉันพูดอะไรไม่ออก เลยกระซิบถามว่า
"แม่ครับ บ้านเราจนมากเลยเหรอ"
ฉันตกใจ รู้สึกตัวทันทีเลยว่า ความเงียบอาจทำให้ความคิดของลูกไขว้เขวขึ้นมาได้
เลยถามลูกว่า "ทำไมลูกจึงถามคำถามเหล่านี้กับแม่"
ลูกตอบว่า "บ้านเพื่อนใหญ่เวอร์ โทรทัศน์ก็จอใหญ่มากๆ แม่เขาให้ของขวัญวันเกิดเป็นรองเท้ากีฬาอาดิดัสคู่นึงตั้งหลายพัน แต่แม่ดูสิ ผมยังใส่รองเท้ากีฬาคู่เก่าของพี่อยู่เลย บ้านเราคงจนน่าดูเลยใช่มะ แม่"
ไม่ได้คาดคิดมาก่อน อายุลูกยังน้อยนิด แต่ก็รู้จักสังเกตสังกาได้มากถึงเพียงนี้ เริ่มรู้จักมีการเปรียบเทียบฐานะความเป็นอยู่ เพื่อจะไม่ให้ลูกกลายเป็นพวกบูชาวัตถุนิยมตั้งแต่เด็ก สงสัยฉันต้องมีคำตอบที่เหมาะสมให้ลูก
@ คำตอบนี้สำคัญ
ฉันต้องตั้งสติสักพัก ก่อนจะคุยกับลูกต่อ
"แม่ดีใจที่ลูกรู้จักถามแม่ในสิ่งที่ลูกสงสัย แม่อยากบอกลูกว่า ตอนนี้ลูกยังเป็นนักเรียน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเรียนหนังสือ งั้นแม่ขอถามว่าโทรทัศน์จอใหญ่ๆมีความสำคัญไหม"
ลูกครุ่นคิดนิดนึงก่อนจะสั่นหัว
"บ้านเพื่อนหลังใหญ่โตมโหฬาร แต่แม่ขอถามว่า บ้านเราอยู่สบายไหม" ลูกผงกหัวทันที
"เพื่อนมีโอกาสไปเที่ยวทะเลพักบ้านตากอากาศของเขา แล้วบ้านเราเคยไปเที่ยวทะเลหรือเปล่า" ลูกผงกหัวตอบรับ
"รองเท้ากีฬาที่ลูกใส่อยู่นะ ใส่สบายเท้าไหม" ลูกผงกหัวอีกครั้ง
"ลูกจ๋า บ้านเราไม่ได้จน แต่บ้านเราจะใช้เงินกับสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น แม่ไม่ซื้อโทรทัศน์เครื่องใหญ่ เพราะกลัวลูกจะเฝ้าแต่จอโทรทัศน์ จนไม่สนใจการเรียน"
"เราไม่จำเป็นต้องมีบ้านหลังใหญ่ เพราะเราอยู่กันแค่สี่คน แค่นี้ก็พออยู่แบบสบายๆแล้ว อีกหน่อยพอลูกๆโตมีครอบครัว ค่อยขยับขยายให้บ้านใหญ่โตขึ้น"
"การไปเที่ยวพักผ่อนต่างจังหวัด ไม่ต้องสร้างบ้านอยู่ที่นั่นก็ไปเที่ยวได้ โรงแรมมีเปิดไว้บริการมากมายไม่ใช่เหรอ"
"แม่ไม่ซื้อรองเท้าแพงๆให้ลูก เพราะรองเท้าต้องเน้นสวมใส่สบายและเหมาะกับเท้าเรา ไมจำเป็นต้องเป็นยี่ห้อดังหรือของแพงเท่านั้น"
แม่ทิ้งท้ายไว้ว่า "ทำไมเราไม่เอาเงินที่จะต้องไปจ่ายนั่นจ่ายนี่ที่แพงๆโดยใช่เหตุ เก็บไว้เป็นทุนการศึกษาให้ลูกตอนเรียนมหาวิทยาลัยไม่ดีกว่าเหรอ"
ลูกฟังคำอธิบายของแม่อย่างตั้งใจ ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่หน้าตาจะสดใสขึ้น ลูกสรุปได้สั้นแต่ได้ใจความมาก
"บ้านเราก็ไม่ได้จน แต่เราต้องใช้เงินกับสิ่งที่เหมาะสมเท่านั้น"
--- คนเป็นพ่อเป็นแม่ ต้องช่วยให้ลูกมีความมั่นใจในตัวเอง นั่นคือสิ่งสำคัญที่สุด
เมื่อไหร่ที่ลูกตัดสินคนจากวัตถุภายนอก
ลูกจะมีปมด้อย
เมื่อไหร่ที่ลูกตัดสินคนจากความประพฤติ ผลการเรียน ความสามารถ
ลูกก็จะไม่รู้สึกมีปมด้อยจากเรื่องวัตถุภายนอก แต่จะเน้นศึกษาคุณภาพจากตัวตนของคน
ต้องทำให้ลูกเชื่อว่า คนเราจะประสบความสำเร็จได้ ไม่ได้มาจากการที่พ่อแม่ทิ้งสมบัติไว้ให้เขามากมาย แต่เขาต้องพึ่งพาความขยันและความสามารถของตนเอง จึงจะได้มาซึ่งความสำเร็จที่ยั่งยืน ---
จงบอกลูกว่า สิ่งของรอบตัวเรา ใช้งานได้ก็พอ
ถ้าชอบอะไรพิเศษเป็นการส่วนตัว รอให้โตขึ้น แล้วใช้ความสามารถของตนไปหามาเอง
@ อย่าร้องขอความเห็นใจจากลูกว่าเราจน
ความเหลื่อมล้ำทางสังคมสูงขึ้นทุกวัน ในหมู่เพื่อนๆของลูก ย่อมมีคนรวยปะปนอยู่ ใช้ข้าวของแพงๆ ใช้มือถือรุ่นล่าสุด หากลูกๆมาถามเกี่ยวกับ "ฐานะ" ที่บ้าน พ่อแม่มากมายมักจะตอบแบบง่ายๆว่า
"บ้านเราจน พ่อแม่ต้องพยายามทำมาหากินเพื่อให้ลูกได้เรียนสูงๆ ถ้าลูกไม่ตั้งใจเรียน จะทำให้พ่อแม่เสียใจ ต้องฝากความหวังไว้กับลูก รอให้ลูกโตแล้วหาเงินเข้าบ้านเยอะๆ บ้านเราจะได้เชิดหน้าชูตาเหมือนบ้านอื่นเขาบ้าง"
คำพูดพื้นๆเหล่านี้ อาจจะมีผลเสียติดตามมา เพราะนั่นเป็นการสร้างแรงกดดันให้ลูก ผลักภาระความหวังทั้งหมดไปไว้ที่ลูก
--- ยิ่งถ้าไม่รู้จักปลูกฝังจริยธรรมที่ดีไว้ให้ลูก เมื่อโตขึ้น ความอยากรวยฝังอยู่ในส่วนลึกของหัวใจเขา ถ้ามีโอกาส เขาอาจจะไม่สนใจศีลธรรมจรรยาบรรณ ปัญหาคอรัปชั่น ปัญหาโกงกินจึงเกิดขึ้นมากมาย เพราะพวกเขาอยากรวยเร็วด้วยเส้นทางลัด และสุดท้ายมักจะอ้างความจนเป็นข้อแก้ตัวในการโกง
พยายามปลูกฝังให้ลูกเป็นคนทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจก็พอ ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น พ่อแม่สบายใจเสมอ ---
@ อย่ารู้สึกผิดกับลูก
สิ่งที่แย่ที่สุดที่ได้พบเห็นบ่อยๆ
"ลูกๆของครอบครัวธรรมดา แต่ถูกเลี้ยงดูแบบลูกคนรวย"
พ่อแม่ทำงานหนัก ประหยัดกับตัวเองทุกรูปแบบ เพื่อให้ลูกอยู่อย่างสุขสบายที่สุด เลี้ยงลูกแบบยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม โดยเฉพาะครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวย กลัวลูกจะมีปมด้วย กลัวลูกจะน้อยหน้าเพื่อน เลยประเคนให้ลูกทุกสิ่งทุกอย่างที่ลูกต้องการ ใช้แต่ของหรูๆแพงๆ
ลูกหลานเหล่านี้ อยู่บ้านเหมือนเทวดา อะไรก็ไม่ต้องทำ มีพ่อแม่ไว้คอยรับใช้
แต่เวลาอยู่นอกบ้าน จะกลายเป็นพวกง่อย ทำอะไรไม่เป็น จนกลายเป็นขยะสังคม หาความเจริญลำบาก
วันไหนพ่อแม่เหนื่อย หรือเจ็บป่วย เขาจะไม่สนใจ ไม่เห็นใจ เพราะสิ่งที่ทำให้เขาทั้งหมด เขาชินชาไปหมดแล้ว ไม่เคยรู้สึกนั่นคือบุญคุณ
พ่อแม่คนไหน คิดแต่จะประเคนแต่สิ่งของดีๆให้กับลูกๆ
คุณกำลังทำร้ายพวกเขา รังแกพวกเขาโดยไม่รู้ตัว
ในระหว่างทางที่ลูกกำลังเติบโต
วัตถุยิ่งมาก จิตสำนึกก็จะยิ่งด้อย
ตอนจิตสำนึกอ่อนล้า แรงสร้างสรรก็จะหดหายไปโดยปริยาย
--- จงให้ลูกๆเติบโตขึ้นในสภาวะที่เป็นจริงที่สุด
ให้ลูกๆรู้จักแก่นแท้ของความยากลำบาก
ให้ลูกๆรู้จักคุณค่าของทรัพย์สินเงินทอง
ให้ลูกๆรู้จักขยันหมั่นเพียรมีความรับผิดชอบ
นั่นคือของขวัญที่ยั่งยืนและมีค่าที่สุดสำหรับพวกเขา ---
"ขจรศักดิ์"
แปลและเรียบเรียง
www.facebook.com/Flintlibrary