พลังเวรข้ามชาติ
หากยังคิดอาฆาตพยาบาทกันอยู่ เวรก็จะติดตามไปเรื่อย ๆ ทำร้ายกันไปเรื่อย ๆ หลายภพหลายชาติ http://winne.ws/n25737
เวร เป็นคำพระ ได้ยินได้ฟังและพูดกันจนชินหูชินปาก คนรุ่นเก่ามักสอนลูกหลานว่าอย่าไปจองเวรจองกรรมกับเขาเลย หรือบอกว่าให้อภัยมันไป อย่าไปจองเวรกับมัน หรือเตือนสติว่าอย่าไปสร้างเวรสร้างกรรมอะไรกับใคร คำนี้เลยติดหูติดปากกันตลอดมา และพอจะเข้าใจได้บ้างว่าอันว่าเวรนั้นคงร้ายกาจนัก ผู้ใหญ่จึงได้บอกได้เตือนกันอย่างนั้น
แท้จริง คำว่า เวร นั้น หมายถึง ความผูกอาฆาตพยาบาทก็ได้ หมายถึง ความปองร้าย ก็ได้ หมายถึง ความรู้สึกเดือดร้อนเพราะกรรมหรือชะตากรรมของตนก็ได้ แต่โดยทั่วไปจะเข้าใจได้ว่าเวรหมายถึง ความผูกอาฆาตพยาบาทกันไว้ เพื่อจะเอาคืนในวันข้างหน้า
เวรนั้นมีพลังมากมายนัก ก่อเวรหรือสร้างเวรได้แล้วก็ติดตามเพื่อจะได้ทวงคืน เมื่อได้โอกาสก็จะแก้แค้น คนที่ถูกแก้แค้นก็จะคิดอาฆาตคนที่ทำกับตนอีก กลายเป็นผูกเวรกันไปเรื่อย ติดตามตัวติดตามความคิดไปตลอดชาติ ตายไปแล้วก็ยังมีพลังมีอำนาจชักนำให้แก้แค้นได้อีก ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกัน เพิ่งเคยเห็นหน้ากันครั้งแรก แต่พลังเวรทำให้รู้สึกเกลียดหน้า ทำให้ไม่ชอบหน้า ทำให้อยากทำร้าย อยากด่าอยากว่า เป็นต้น นี่คือพลังเวร และเป็นพลังส่งผลข้ามภพข้ามชาติก็ได้
และหากยังคิดอาฆาตพยาบาทกันอยู่ เวรก็จะติดตามไปเรื่อย ๆ ทำร้ายกันไปเรื่อย ๆหลายภพหลายชาติ เวรก็ยังไม่เบาบาง จนกว่าจะ “ให้อภัย” ได้การให้อภัยนั้นเกิดจากความรู้สึกไม่จองเวรขึ้นในจิตใจ ความรู้สึกไม่จองเวรเกิดขึ้นได้จาก ความมีขันติ ความมีเมตตา ความมีโยนิโสมนสิการ ความพิจารณา อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างพร้อมกัน
ความมีขันติ หมายถึงอดทนอดกลั้นไว้ได้ไม่ผูกเวรต่อไป
ความมีเมตตา หมายถึงมีความรักปรารถนาดี ไม่ต้องการให้เดือดร้อนกันต่อไป
ความมีโยนิโสมนสิการ หมายถึงการสนใจคิดไว้ว่าเมื่อผูกเวรต่อไป ก็ทำให้เดือดร้อนไม่รู้จบ
ความพิจารณา หมายถึงการใช้ปัญญาพินิจถึงผลดีผลเสีย ของการมีเวรต่อกัน แล้วก็ตัดสินใจเลือกที่จะไม่สานต่อเวรต่อไป
เมื่อความรู้สึกเหล่านี้เกิดขึ้นก็จะทำให้มองเห็นข้อด้อยของการจองเวรทำให้คิดเลิกละ ไม่คิดก่อเวรต่อไป ซึ่งเรียกว่าไม่จองเวร จากนั้น การให้อภัยก็ตามมา เมื่อให้อภัยได้ เวรก็จะถูกตัด ไม่สานต่อเนิ่นนานอีก การให้อภัยจึงสำคัญนัก แม้อีกฝ่ายจะยังมีเวรยังอาฆาตพยาบาทอยู่ แต่เมื่ออีกฝ่ายให้อภัยเสียแล้ว เวรจะค่อย ๆ สงบลง และหมดพลังไปในที่สุด
จากหนังสือ อันเหลือเชื่อ
โดย : พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี)