ขนมทอดชิ้นนั้น ที่ทำให้มีฉันในวันนี้ .

..ขีวิตของเขาคงก้าวมาไม่ถึงจุดนี้แน่นอน ถ้าไม่มีแบบอย่างที่ดีของแม่ที่คอยพร่ำสอนเขาผ่านการกระทำของแม่เอง โดยเฉพาะเหตุการณ์ของขนมทอดชิ้นนั้น ที่ถูกห่อหุ้มด้วยดวงใจของแม่อย่างที่เขาไม่มีวันลืมเลือน... http://winne.ws/n24976

1.4 หมื่น ผู้เข้าชม

“ขนมทอดชิ้นนั้นที่ถูกห่อหุ้มด้วยดวงใจของแม่”


     หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศแพ้สงคราม มีสภาพเศรษฐกิจที่อยู่ในฐานะตกต่ำอย่างที่สุด เกือบทุกครัวเรือนต่างต้องอยู่กันอย่างขัดสน การมีอาหารพอกินประทังชีวิตไปได้วันๆก็ถือว่าโชคดีแล้ว หากไม่ใช่วันสำคัญหรือโอกาสพิเศษ จะไม่มีทางได้เห็นเนื้อหมูหรือเนื้อปลาบนโต๊ะอาหารเด็ดขาด เรื่องราวต่อไปนี้เกิดขึ้นกับเด็กน้อยอายุ 11 ขวบกับแม่ของเขา ประสบการณ์ครั้งนั้นในชีวิตมีผลอย่างมากต่อการดำเนินชีวิตในภายภาคหน้าของเขา

     วันนั้นเขาตามแม่ไปจ่ายตลาด ระหว่างทางกลับบ้าน ตอนเดินผ่านร้านขายขนมทอด เสียงทอดขนมในกระทะพร้อมกลิ่นหอมเย้ายวนใจทำให้เด็กน้อยต้องหยุดชะงัก เขาเคยได้ยินเพื่อนๆในโรงเรียนพูดถึงความอร่อยของขนมทอดแบบนี้ ดูเหมือนเพื่อนๆหลายคนมีโอกาสได้เคยชิมมาแล้ว แต่เขายังไม่เคยมีโอกาสเลยสักครั้ง คิดถึงอาหารแต่ละมื้อที่บ้านล้วนมีแต่ผัดผักกับผักดอง ทำให้เด็กน้อยรู้สึกละเหี่ยใจ

ขนมทอดชิ้นนั้น ที่ทำให้มีฉันในวันนี้ .

     เด็กน้อยหันมาบอกกับแม่ว่า   "ขอกินขนมทอดไส้เนื้อสักชิ้นได้ไหมครับ"

     แม่ตอบเขาด้วยเสียงนุ่มนวลว่า  "บ้านเราไม่มีเงินพอที่จะซื้ออาหารแบบนี้ หากดึงดั้นจะให้แม่ซื้อ คุณพ่อต้องโกรธพวกเราแน่ "

     แต่เด็กน้อยบอกกับแม่ว่า   "เพื่อนๆต่างก็เคยกินกันทั้งนั้น แต่ผมยังไม่เคยมีโอกาสได้ลิ้มรสเลย แม่ซื้อให้สักชิ้นเถอะครับ"    เขาอ้อนวอนรบเร้าแม่ไม่ยอมเลิก

     พูดถึงขนมทอดชนิดนี้ เป็นขนมที่ทำด้วยแป้งกับถั่ว มีเนื้อสับห่อเป็นไส้ใน ทอดให้เหลืองอร่ามกลิ่นหอมกรุ่น ขนมรูปแบบนี้หาได้ทั่วไปในญี่ปุ่นทุกวันนี้ แต่หลังสงครามโลกที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้มาอย่างย่อยยับ มันเป็นอาหารประเภทฟุ่มเฟือยก็ว่าได้ ครอบครัวทั่วๆไปไม่อยู่ในฐานะที่จะไปหาซื้อทานกันได้ง่ายๆ

     คนเป็นแม่ยืนมองหน้าลูกชายอย่างครุ่นคิด ก่อนที่จะพูดกับลูกชายว่า 

     " ลูกอยากกินจริงๆเหรอ"      แล้วแม่ก็เดินเข้าไปในร้าน สั่งซื้อขนมทอดไส้เนื้อเป็นจำนวนหกชิ้น

     สิ่งที่คาดคิดไว้ก็เกิดขึ้นจริงๆ เย็นนั้นหลังพ่อกลับถึงบ้าน แล้วเมื่อทุกคนนั่งลงล้อมวงอยู่กับโต๊ะอาหาร บนโต๊ะนอกจากผัดผักกับผักดองแล้ว พ่อเห็นมีขนมทอดเพิ่มมาอีกจานหนึ่ง เสียงพ่อเอะอะเอ็ดตะโรขึ้นมาทันที   "ใครให้ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายอย่างงี้ ไม่รู้หรือว่าบ้านเราเหลือเงินอยู่มากน้อยแค่ไหน......." 

     เด็กน้อยเริ่มรู้ว่าเหตุการณ์ต้องรุนแรงกว่าที่คาดไว้เยอะ เกรงว่าถ้าแม่เปิดเผยความจริงเมื่อไหร่ ตนต้องโดนพ่อลงโทษอย่างแน่นอน

ขนมทอดชิ้นนั้น ที่ทำให้มีฉันในวันนี้ .

     แต่ผิดคาด เรื่องที่กังวลไม่ได้เกิดขึ้น แม่ได้แต่นั่งนิ่งฟังเสียงคำรามของพ่ออย่างเงียบๆ ไม่มีเสียงตอบโต้หรือคำแก้ตัวใดๆจากแม่สักประโยค หน้าตาแม่ก็ไม่ได้บ่งบอกถึงความน้อยเนื้อต่ำใจ ได้แต่นั่งก้มหน้าก้มตาฟังพ่อโวยวายอย่างสงบเสงี่ยมที่สุด

     แน่นอนที่สุด ตอนแม่ตัดสินใจซื้อขนม ก็คงรู้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์แบบนี้ต้องเกิดขี้นแน่นอน เพราะนี่เป็นการตัดสินใจที่ไม่ได้ปรึกษาสามีก่อน การถูกสามีดุด่าต่อว่าเป็นเรื่องที่สามารถคาดเดาได้อยู่แล้ว

     แม่คงตัดสินใจที่จะรับผิดชอบด้วยตัวท่านเอง ไม่โทษคนอื่น ขณะเดียวกัน การไม่โต้เถียงสามีก็เป็นการให้เกียรติคนที่เป็นผู้นำของครอบครัว แต่เพื่อลูกๆ แม่ก้มหน้ายอมรับผิดชอบกับเรื่องที่ได้กระทำไปแล้ว

     แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องประทับใจอย่างยิ่ง คงเป็นฉากต่อไปนี้อันแสดงถึงความรักที่ยอมเสียสละของคนเป็นแม่ และมันสามารถระงับอารมณ์โกรธของพ่อลงได้อย่างชะงักงัน


     ในระหว่างที่พ่อกำลังส่งเสียงเอ็ดตะโรอยู่ ก็พอดีเหลือบไปเห็นขนมทอดในจานที่มีจำนวนอยู่แค่หกชิ้น ในบ้านมีลูกๆอยู่ห้าคน รวมพ่อแม่แล้วเป็นจำนวนเจ็ดคน นั่นย่อมแสดงว่า แม่ไม่ได้ซื้อขนมให้ตนเอง มีแต่ขนมให้พ่อและลูกๆทุกคน เสียงดุด่าของพ่อเงียบลงทันที พ่อค่อยๆใช้ตะเกียบแบ่งชิ้นขนมของตนออกเป็นสองส่วน แล้วคีบใส่ชามคุณแม่ไปครึ่งชิ้น แล้วคุณพ่อก็คีบขนมครึ่งชิ้นที่เหลือใส่ปากตัวเอง

ขนมทอดชิ้นนั้น ที่ทำให้มีฉันในวันนี้ .

     นั่นย่อมแสดงว่า พ่อหายโกรธแล้ว ในสังคมยุคนั้น คนเป็นพ่อต้องลงมือเริ่มทานข้าวก่อนเป็นคนแรก สมาชิกส่วนที่เหลือจึงจะเริ่มลงมือทานได้ พอเห็นพ่อคีบขนมชิ้นนั้นใส่ปาก ย่อมเป็นที่เข้าใจแล้วว่าเหตุการณ์ร้ายได้ผ่านพ้นไปแล้ว ทุกคนเริ่มทานข้าวมื้อนั้นด้วยความสบายใจ แน่นอนที่สุด มันเป็นอาหารมื้อที่อร่อยที่สุดสำหรับพวกเขาทุกคน

     หลังอาหาร แม่สบตาเด็กน้อย ใบหน้าแฝงไปด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น บอกกับเด็กน้อยว่า    "อร่อยมากใช่ไหม"     ไม่มีท่าทีที่จะติเตียนเด็กน้อยเลยสักนิด


----------------------

     เด็กน้อยคนนั้นไม่มีวันลืมเหตุการณ์ครั้งนั้นไปชั่วชีวิตของเขา แม่ใช้ความรักที่ยิ่งใหญ่ ไร้เสียงบ่น ไร้เสียงติเตียน มีแต่ความเสียสละเพื่อทุกคนในครอบครัว เป็นแบบอย่างที่สำคัญที่สุดอันฝังแน่นอยู่ในจิตใจของเขาไม่รู้ลืม แล้วยังทำให้เขาตระหนักว่า คนเราอย่าเอาแต่ใจตัวเอง จะทำสิ่งใดต้องคำนึงถึงผลที่จะตามมา และหากตัดสินใจทำสิ่งใดแล้ว ต้องกล้าพอที่จะรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น ไม่หลบหนีปัญหา ไม่ปัดความรับผิดชอบ ไม่โยนความผิดให้คนอื่น นั่นเป็นแบบอย่างสำคัญบนเส้นทางการดำเนินชีวิตของเขาหลังจากนั้นเป็นต้นมา

    เด็กน้อยคนนั้นคือ นายไซจิโร่ คาโดคุระ ประธานบริษัท ฮาคาฮิโร่ จำกัด ซึ่งเป็นที่รู้จักดีของชาวญี่ปุ่น เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า 

     ขีวิตของเขาคงก้าวมาไม่ถึงจุดนี้แน่นอน ถ้าไม่มีแบบอย่างที่ดีของแม่ที่คอยพร่ำสอนเขาผ่านการกระทำของแม่เอง โดยเฉพาะเหตุการณ์ของขนมทอดชิ้นนั้น ที่ถูกห่อหุ้มด้วยดวงใจของแม่อย่างที่เขาไม่มีวันลืมเลือน


"ขจรศักดิ์" 

แปลและเรียบเรียง

www.facebook.com/Flintlibrary

แชร์