อานุภาพ การแผ่เมตตา 2
การแผ่เมตตาของผู้ที่สวดมนต์ไหว้พระ และนั่งสมาธิจนจิตมีความใสสว่างนั้น ย่อมมีพลัง และเป็นที่โปรดของเหล่าเทวดา และดวงวิญญาณทั้งหลาย http://winne.ws/n23904
การแผ่เมตตาของผู้ที่สวดมนต์ไหว้พระ และนั่งสมาธิจนจิตมีความใสสว่างนั้น ย่อมมีพลัง และเป็นที่ต้องการของเหล่าเทวดา และดวงวิญญาณทั้งหลาย อานุภาพของการแผ่เมตตาดังกล่าวแสดงไว้ดังนี้
1.อานิสงส์จากการได้โปรดดวงจิตวิญญาณ
ผู้ที่สวดมนต์ไหว้พระ และนั่งสมาธิจนมีจิตที่ใสสว่างแล้ว พวกวิญญาณเร่ร่อนจะชอบมาปรากฏให้เห็นในลักษณะต่างๆ เพื่อมาขอส่วนบุญส่วนกุศลให้ตนได้ร่มเย็นหรือพ้นทุกข์ หรือแม้กระทั่งหลุดพ้นจากการถูกจองจำ
โดยปกติบทสวดมนต์จะมีความขลังอยู่ในตัวโดยเฉพาะบทพุทธบารมี ยิ่งผู้สวดมีสมาธิจิตที่ดีแล้ว พลังหรือกระแสแห่งความเมตตาจะแผ่กระจายไปได้ไกล ประกอบกับอานุภาพของพลังจิตผู้สวดเอง เมื่อเสียงสวดไปกระทบหรือสัมผัสกับดวงจิตวิญญาณใด พลังแห่งความเมตตา และพลานุภาพแห่งบทสวดจะกระตุ้นให้ดวงจิตวิญญาณเกิดความระลึกได้ นึกถึงบุญกุศลที่ตนเองได้เคยกระทำไว้เมื่อครั้งยังมีชีวิต และด้วยพลานุภาพแห่งพุทธคุณ ทำให้ดวงจิตที่มืดบอดมีความสว่างผ่องใสขึ้นจนหลุดพ้นจากบ่วงพันธนาการในที่สุด
โดยสภาพธรรมชาติของวิญญาณทั้งหลายนั้นพวกเขาจะถูกจำกัด หรือถูกควบคุมพื้นที่เสมือนถูกจองจำตีตรวนเหมือนนักโทษที่ติดอยู่ในคุก บางคนก็สำนึกหรือระลึกได้เอง บางคนต้องได้รับการอบรมสั่งสอนก่อนจึงจะเกิดความสำนึกและระลึกได้ เมื่อดวงวิญญาณระลึกถึงความดี ความชั่วที่ตนได้กระทำไว้ได้แล้ว ก็สามารถเปิดรับธรรมะได้
เพราะฉะนั้นการระลึกได้จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งดังที่คนโบราณได้สั่งสอนบอกต่อกันมาว่า ก่อนตายให้นึกถึงพระ ความหมายนี้คือ ให้ระลึกถึงคุณความดีที่ตนเองได้กระทำไว้นั่นเอง หากสำนึกได้ในวินาทีสุดท้ายขณะใกล้ตายก็ถือว่า มีโอกาสที่จะรับรู้สัมผัสธรรมได้ (จิตเปิด)มีโอกาสหลุดพ้น(จากการจำกัดบริเวณ )ได้
ยิ่งเมื่อเราแผ่เมตตาตามอีกเขาก็จะได้อานิสงส์มากยิ่งขึ้น ดวงจิตวิญญาณเหล่านั้นชุ่มเย็นเป็นสุขเสมือนเรานำน้ำที่เย็นชโลมรดให้กับผู้ที่หิวกระหายลุ่มร้อนมานานปี จนสุดท้ายก็จะสามารถหลุดพ้นไปได้การที่เราทำให้วิญญาณตกทุกข์ได้ยาก ทุกข์ทรมาน ได้รับความสุข สว่างสดใส หรือกระทั่งหลุดพ้นไปได้นั้นนับว่าได้อานิสงส์มหาศาลทีเดียว
สภาพความจริงในภพแห่งวิญญาณ ถ้ามนุษย์มองเห็นก็จะพบว่ามีวิญญาณเร่ร่อน หรือ สัมภเวสี จำนวนมากมายทุกหนแห่ง เช่น คนมีจิตสว่างบางคนไปนอนที่ไหนก็จะมีวิญญาณมาดึงมาปลุก ทำให้ไม่สามารถนอนได้ ปรากฏการณ์เช่นนี้ทำให้เข้าใจเป็นเบื้องต้นว่าเขามาขอส่วนบุญ เขาเห็นจิตของเราที่สว่าง แสดงว่าเรามีบุญที่สามารถแผ่ให้กับเขาได้ อย่าตกใจ อย่ากลัว ให้ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี วิธีปฏิบัติก็คือ สวดมนต์ แผ่เมตตาให้เขาเสีย แล้วเราจะนอนหลับฝันดี เขาจะเฝ้าดูแลเราตลอดทั้งคืน บางทีอาจให้โชคลาภกับเราอีกด้วย
สถานที่บางแห่งวิญญาณอยู่กันเหมือนตัวหนอน เหมือนฝูงแมลงวันยิ่งดวงวิญญาณอยู่กันมากมายเช่นนี้ผู้สวดมนต์ แผ่เมตตา ภาวนาสมาธิให้ก็จะได้อานิสงส์มากเท่าทวีคูณ การสวดมนต์ที่แท้ก็คือการแผ่เมตตานั่นเอง
การทำจิตให้นิ่งเป็นสมาธิบ่อยๆเสมือนเราอยู่ในที่สูง อานิสงส์ที่เราสร้างบุญกุศลที่เราทำจะเปรียบเสมือนเราเทน้ำให้ไหลลงสู่เบื้องล่าง ผู้อยู่เบื้องล่างที่หิวกระหายก็จะรอรับอย่างชุ่มเย็น มีความปีติยินดี
2.ได้อานิสงส์จากพรเทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เทวดาทั้งหลายโปรดปรานการฟังเสียงสวดมนต์มาก เพราะถือเป็นพิธีกรรมแห่งพุทธที่มีมนต์ขลัง มีความศักดิ์สิทธิ์ บทสวดทุกบทมีพลังพุทธานุภาพสูงใครได้ยินได้ฟังได้ซึมซับก็จะเกิดความสว่างไสว มนุษย์ที่สวดมนต์ไหว้พระเป็นประจำจึงเป็นที่โปรดปรานของเทวดา ไปที่ไหนมีเทวดาปกป้องคุ้มครอง ให้โชคให้ลาภ ให้ความมั่งมีศรีสุข
คนโบราณจึงย้ำหนักหนาให้ลูกหลานสวดมนต์ก่อนนอน นี่คือความหมายที่แท้จริงของการสวดมนต์ก่อนนอน
เทวดาก็ต้องการสร้างบารมีของตนให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไปเช่นกัน เมื่อเราสวดมนต์ไหว้พระ และแผ่เมตตา ทำให้เทวดาได้บารมีเพิ่ม ได้ความสว่างเพิ่ม เทวดาก็จะอำนวยอวยพรชัยมงคลให้กับเราเป็นการตอบแทนคุณ
ซึ่งอานุภาพแห่งการแผ่เมตตาที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนี้ เป็นสิ่งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์ จึงทำให้หลายคนเกิดความไม่เชื่อคิดว่าเป็นสิ่งที่แต่งขึ้นมาเพื่อรักษาศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดสามารถพิสูจน์ได้ด้วยการหลักการปฏิบัติทางพุทธศาสตร์ มิได้เป็นอจินไตย สำหรับผู้ปฏิบัติที่เข้าถึงสภาวธรรมได้ในระดับสูง
เรียบเรียงโดย : เดอะซัน
อ้างอิง