แจน-พีรยา แซ่น้า สาวอาสามูลนิธิร่วมกตัญญูร่างเล็กที่หัวใจใหญ่มาก (เธอพร้อมช่วยชีวิตให้คนรอด!)
เธอคือ…สาวอาสาร่างเล็กที่เพียงต้องการช่วยยื้อชีวิตผู้ป่วยจนกว่าจะถึงรถพยาบาล นอกจากคำชื่นชมแล้ว เธอกลับถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสม http://winne.ws/n22838
ทั้งท่าทางและการแต่งกาย จากคลิปกระโดดขึ้นปั๊มหัวใจผู้ป่วยหมดสติที่เป็นกระแสบนโลกออนไลน์ เมื่อ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แต่ทว่าสิ่งที่เธอทำได้มีแพทย์และผู้เชี่ยวชาญยืนยันชัดเจนแล้วว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะสมแล้ว ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เธอได้รับรางวัลแห่งความดี ประกาศชมเชย “บุคคลผู้มีจิตอาสา กรณีกู้ชีพฉุกเฉิน” จากนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ที่ทำคุณงามความดีช่วยเหลือสังคม
“แจน-พีรยา แซ่น้า” นักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี คือบุคคลที่เรากำลังกล่าวถึง
จากความชอบช่วยเหลือผู้อื่น นำมาสู่การตัดสินใจเข้าร่วมทีมอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญูตั้งแต่ชั้น ม.5 ซึ่ง ณ ปัจจุบันก็เป็นระยะเวลากว่า 3 ปีมาแล้วที่ได้มาทำหน้าที่ตรงนี้ และถึงแม้ว่าผลตอบแทนที่ได้รับอาจจะไม่ใช่เงินทองหรือทรัพย์สินที่มีมูลค่าแต่อย่างใด แต่กลับกลายเป็นรอยยิ้มและชีวิตใหม่ของใครหลายคนต่างหาก ซึ่งนี่เองที่เป็นเสมือน “ความสุขทางใจ” และเป็น “ยาชูกำลัง” ที่คอยเติมเต็มให้เธออยากทำหน้าที่ตรงนี้สืบต่อไป
หลายคนอาจจะได้เห็นและรู้จักน้องแจนจากกระแสคลิปการทำ CPR ช่วยเล่าถึงเหตุการณ์วันนั้นให้ฟังหน่อยค่ะ
วันนั้นเป็นเหตุการณ์เกิดจากเพลิงไหม้ชุมชนถนนจันทน์ แยก 12 ค่ะ แล้วพอดีว่าเพื่อนของน้องชายหนูได้โทร.มาบอกน้องชายว่าไฟไหม้ที่บ้าน แม่น้องเขาอยู่บ้านคนเดียว ช่วยไปดูให้หน่อย หนูก็เลยออกไปกับน้องชายค่ะ
แจนไปถึงพร้อมกับพี่ๆ Advance โรงพยาบาลเจริญกรุงพอดี พี่เขาก็เลยบอกหนูว่าให้ไปดูข้างในให้หน่อย พอดีมีผู้ป่วยหมดสติอยู่ในนั้น ตอนนั้นหนูกับน้องชายก็เลยเข้าไปดู ปรากฏว่ามีผู้ป่วยหมดสติอยู่ แล้วทางพี่ๆ ดับเพลิงเขาก็กำลังทำ CPR อยู่ด้วย เราก็เลยเข้าไปช่วยเหลือตรงนั้นเบื้องต้น
พอเราเข้าไปช่วยเหลือเบื้องต้นได้สักพักก็มีทางพี่กู้ชีพเขาเดินมาประเมินสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งจากการประเมินก็คือ เราไม่สามารถทำอะไรได้เยอะ เพราะว่าด้วยเหตุผลก็คือ หนึ่ง ผู้คนเยอะ สอง สถานที่แคบ อีกอย่างมันยังไม่ได้ปลอดภัยมากสักเท่าไหร่ เขาก็เลยคิดว่าเราควรยกผู้ป่วยมาทำ CPR บนรถ แล้วนำส่งเลยจะดีกว่า พี่ๆ เขาก็เลยกลับไปเอาเตียงเข็นมา เสร็จแล้วพวกพี่อาสาก็เลยช่วยยกขึ้นเตียง แล้วเผอิญว่าหนูหันไปเห็นพี่อาสาป่อเต็กตึ๊ง เขากำลังทำ CPR มือเดียวอยู่ เพราะด้วยสถานที่ตรงนั้นแคบและวุ่นวาย ซึ่งหนูก็เลยคิดว่าถ้าเข็นออกไปก็มีรถจอดอยู่เยอะมาก ถ้าพี่เขา CPR ด้านข้าง ต้องมีจังหวะที่หยุด CPR แน่ๆ เพราะว่าด้วยความที่ต้องเบี่ยงไปเบี่ยงมา ซึ่งผู้ป่วยคนนี้ไม่สามารถหยุด CPR ได้ เพราะถ้าเราหยุด ในทางการแพทย์ถ้าผู้ป่วยยังไม่มีชีพจรแล้วเราหยุดทำ CPR ก็เหมือนกับว่าเราไปตัดลมหายใจเขา หนูก็เลยตัดสินใจกระโดดขึ้นไปทำ CPR แล้วก็ทำต่อเนื่องเลยดีกว่าค่ะ
• พอเห็นคลิป CPR ช่วยชีวิตคนออกมารู้สึกอย่างไร ผลตอบรับ คนรอบข้างว่ายังไงบ้างคะ
ตอนแรกเห็นคลิปตัวเองออกมา ไม่คิดว่าคลิปจะดังอะไรขนาดนี้นะคะ เพราะว่าปกติหนูก็ได้ทำ CPR อยู่แล้ว แต่แค่เป็นการทำ CPR ด้านข้าง ก็ยังงงๆ อยู่ พอเปลี่ยนจาก CPR ด้านข้าง มาทำ CPR ด้านตรง อยู่ๆ ก็เป็นกระแสขึ้นมา
บางคนก็ชื่นชม ในส่วนนี้หนูก็ดีใจที่มีคนชื่นชม บางคนเจอเราก็ขอถ่ายรูป ซึ่งหนูรู้สึกว่ามีคนรู้จักเรามากขึ้นนะ แต่ในใจก็คิดว่าอยากให้คนไทยได้เห็นว่าการปฐมพยาบาลที่ถูกต้อง อยากให้เห็นว่าการทำ CPR สามารถช่วยเหลืออะไรได้บ้าง สถานการณ์ไหนที่ควรทำ CPR อะไรทำนองนี้มากกว่าค่ะ คือหนูไม่ได้อยากดัง และไม่คิดว่าจะต้องดังแล้วถึงจะทำต่อ เพราะถึงไม่ดังยังไงหนูก็จะทำต่อไปอยู่แล้วค่ะ แต่กระแสที่เป็นดรามา หาว่า 18+ ก็มีค่ะ
• อย่างกระแสความไม่เหมาะสมก็มีเหรอคะ
มีค่ะ แต่หนูไม่ได้เครียดนะคะ เพราะเราอยากช่วยเหลือผู้ป่วยจริงๆ ซึ่งคุณแม่ก็จะให้กำลังใจบอกว่าอย่าไปเครียด ไม่เป็นไรนะ หนูทำถูก หนูไม่ได้ทำผิด บางข่าวก็จะมีคุณหมอออกมายืนยันแล้วด้วย เขาจะดรามาก็ปล่อยเขา ต่างคนต่างความคิด เราคิดไม่เหมือนกัน เขาไม่ได้อยู่ ณ จุดเกิดเหตุ เขาไม่ได้มารู้เห็นว่าเราทำอะไรบ้าง เขามารู้แค่ตอนเป็นคลิปแล้ว ถ้าสนใจตรงนี้ เราก็จะเป็นทุกข์เอง เพราะในเมื่อเราทำดีแล้ว เราทำเต็มที่แล้ว ถึงจะมีคนด่า 99 คน คนชม 1 คน ให้เราไปสนใจที่คนชม 1 คน แล้วเอาตรงนั้นมาพัฒนาตัวเอง แล้วทำต่อไปเรื่อยๆ จะดีกว่า
• แต่การทำ CPR สามารถทำได้ทุกด้านใช่ไหมคะ ขอความรู้เรื่องการทำ CPR ที่ถูกต้องหน่อยค่ะ
CPR สามารถทำได้ทุกด้านค่ะ จะแล้วแต่สถานการณ์เลย เพราะว่าจริงๆ แล้วการ CPR สามารถทำได้ทั้งซ้ายและขวา บางคนก็บอกว่าทำด้านซ้ายสิ หัวใจอยู่ด้านซ้ายไม่ใช่เหรอ แต่จริงๆ แล้วสามารถหันได้หมดเลยค่ะ แต่ต้องบอกก่อนว่าการทำ CPR ท่าที่ดีที่สุดคือ CPR บนพื้น อย่า CPR บนเตียง บนโซฟา เพราะว่าเวลาเรากด พวกเตียง พวกโซฟา จะยุบตามเรา มันจะไม่ได้มาตรฐาน ให้ยกตัวผู้ป่วยลงมาที่พื้นแล้วทำการ CPR จะดีที่สุดค่ะ
CPR จะใช้ในผู้ป่วยหมดสติ ไม่มีชีพจร ไม่มีลมหายใจ แต่ไม่ใช่ว่าเจอคนหมดสติ ปลุกไม่ตื่นก็ไปทำ CPR คือจะต้องมีการวัดชีพจร ประเมินการหายใจก่อน ถ้าเป็นผู้ป่วยประสบอุบัติเหตุมาเราต้องประเมินบาดแผลด้วย เพราะว่าถ้าประสบอุบัติเหตุบาดแผลจะสำคัญ ซึ่งบาดแผลจะมีทั้งด้านในและด้านนอก ด้านนอกคือเลือดออก ส่วนด้านในจะเป็นกระดูก ส่วนมากถ้าประสบอุบัติเหตุก็จะบล็อกทุกอย่างก่อน แล้วค่อยเรียกผู้บาดเจ็บ คือเหมือนว่าเราบล็อกไม่ให้กระดูกต้นคอและกระดูกสันหลังเคลื่อนเพราะเป็นกระดูกที่สำคัญมาก ดังนั้นเราต้องบล็อกก่อน บล็อกเสร็จ เราค่อยเรียกผู้ป่วย ถ้าผู้ป่วยไม่ตอบสนอง ไม่มีชีพจร ไม่มีลมหายใจ เราก็จะเริ่มทำการ CPR เลยค่ะ
อีกอย่างเราต้องประเมินสถานที่ด้วยนะคะว่าถ้าตัวเราเข้าไปช่วยเขา เราจะปลอดภัยไหม เช่น เราเจอคนโดนไฟคลอก แล้วไปช่วยเลย ไม่เซฟตัวเอง กลายเป็นว่าเราก็จะถูกไฟคลอกไปด้วย หรือมีคนโดนรถชน แต่รถยังวิ่งอยู่เลย แล้วเราดันวิ่งตัดหน้ารถไปช่วย เราอาจจะถูกชนเองไปด้วยก็ได้ แต่ในทางกลับกันถ้าเราประเมินดูว่าทุกอย่างปลอดภัย แล้วเข้าไปช่วย นอกจากเราจะปลอดภัยแล้ว คนที่เราช่วยเขาก็อาจจะยังมีชีวิตอยู่รอดได้เหมือนกัน
หลักการทำ CPR ที่ถูกต้องคือ 1.ให้สังเกตตำแหน่ง เราวางมือตำแหน่งถูกจุดไหม 2. แรงกดเราพอไหม ความลึกพอไหม 3. จังหวะ เราทำจังหวะได้ไหม จะเป็นประมาณนี้ค่ะ
ส่วนหลักทฤษฎีการทำ CPR จะมีอยู่ 2 แบบ ก็คือ 1. การปั๊ม 30 ครั้ง ต่อการช่วยหายใจ 2 ที กับ 2. การกดต่อเนื่องเลย การกดต่อเนื่องจะขึ้นอยู่กับสถานที่ตรงนั้นด้วย เช่น พี่พยาบาลวิชาชีพไม่สามารถเปิดทางเดินน้ำเกลือได้ หรือไม่สามารถเอาอุปกรณ์ช่วยหายใจเข้าไปได้ เราจึงจำเป็นที่จะต้องทำ CPR อย่างต่อเนื่อง ซึ่งบางคนคิดว่าต้องปั๊มหัวใจสลับกับการเป่าปากด้วย แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ค่ะ เพราะการ CPR คือการนำออกซิเจนเข้าไป เหมือนการที่เราไปบีบหัวใจให้หัวใจสูบฉีดเลือดค่ะ
• แบบนี้คิดว่าทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้เรื่อง CPR ติดตัวไว้ไหมคะ
จริงๆ ในความคิดหนูนะคะ เราน่าจะจัดการอบรมเข้าไปอยู่ในหลักสูตรของการเรียนการสอนเลย ยิ่งเป็นชั้นประถมศึกษา จะยิ่งรู้เรื่องมากกว่า อย่างสมมติว่าผู้ป่วยที่บ้าน คือจากประสบการณ์ที่หนูเคยเจอ ตอนที่หลานชายเคยชัก แล้วคนที่มีสติที่สุดก็คือพี่สาวหลานชายคนนี้ ซึ่งอยู่ชั้น ป.1 ซึ่งถ้าปลูกฝังจากตรงนี้หนูว่าเด็กอาจจะพูดได้ว่าทำแบบนี้สิ คือจากที่เราเคยเจอสถานการณ์มา ส่วนมากญาติจะไม่ค่อยมีสติ จะโวยวาย แต่ถ้าเป็นเด็ก เด็กเขาจะนิ่ง จะมีสติเพราะด้วยความที่เขาอาจจะไม่รู้เรื่อง เขาก็จะสามารถบอกกับผู้ใหญ่ได้ว่าทำแบบนี้สิ แบบที่เขาเรียนมาอะไรแบบนี้ค่ะ
เพราะหนูมอง ถ้าผู้ป่วยหมดสติ เขาจะมีเวลาแค่ 4 นาที ถ้าได้ทำ CPR ใน 4 นาที จะมีเปอร์เซ็นต์การรอดสูงกว่าที่ทิ้งระยะเวลาไว้นานแล้ว ถ้าเราทุกคนทำ CPR เป็นก็เหมือนกับว่าเราได้ช่วยชีวิตคนหนึ่งคน เราสามารถทำให้เขากลับมามีชีวิต กลับมาอยู่กับคนที่เขารัก เริ่มต้นทำในสิ่งที่เขาอยากทำได้
มีหลายคนเหมือนกันที่ต้องเสียคนที่เขารักไปเพราะว่าทำ CPR ไม่เป็น อย่างบางคนกดผิดจุด ไม่รู้ว่าต้องกดตรงไหน บางคนกดต่ำไป บางคนกดสูงไป ไม่รู้ว่ากดลึกเท่าไหร่ ไม่รู้ว่ากดตรงจุดหรือเปล่า ไม่รู้ว่ากดเร็วไปหรือเปล่า ทำให้ไม่ไปโดนจุดที่สำคัญ บางคนก็ไม่กล้าทำ มันก็เลยช่วยไม่ได้ อย่างที่บอกคือให้มีในหลักสูตรของการเรียนการสอนเลย เราต้องเรียนรู้ไว้ แต่ถ้าในกรณีที่คุณช่วยไม่ได้หรือไม่รู้จริงๆ ว่าต้องทำ CPR ยังไง ถ้าแถวนั้นมีคนที่ทำ CPR เป็น คุณให้เขาทำ CPR ก่อนเลยค่ะ และโทร.ไปที่เบอร์ 1669 เรียกรถพยาบาลให้เร็วที่สุด
• กว่าจะมาถึงวันนี้ ขอย้อนถามถึงการเริ่มมาเป็นอาสามูลนิธิร่วมกตัญญูตรงนี้หน่อยค่ะ
หนูทำงานตรงนี้มาตั้งแต่ตอน ม.5 ค่ะ เริ่มมาจากก่อนหน้านี้พี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เขาทำอยู่แล้ว เราก็ได้ไปออกเคสกับเขา แล้วเรารู้สึกชอบ ซึ่งหนูก็จะแบ่งเวลามาทำตรงนี้เพื่อไม่ให้กระทบกับการเรียน โดยจะมาเสาร์เว้นเสาร์ บางทีก็ศุกร์กลางคืนค่ะ
จำได้ว่าตอนที่ไปออกเคสครั้งแรกกับพี่ชายตื่นเต้นมากค่ะ คือพี่หนูไปทั้งเคสผู้ป่วย เคสอุบัติเหตุ แล้วก็เคสที่เสียชีวิตด้วย เราก็จะได้ประสบการณ์ใหม่ๆ หลายๆ อย่าง
พอทำได้ประมาณปีกว่า ทางมูลนิธิก็เปิดรับสมัครพอดี พี่ชายก็ถามว่าเขาเปิดรับสมัครจะลงไหม หนูก็เลยไปสมัครค่ะ เพราะว่า 1 ปีที่เราสัมผัสมา เราชอบ เลยไม่ได้คิดอะไรเยอะ ซึ่งคุณแม่ก็จะสนับสนุน คือคุณแม่ให้ไปทำเต็มที่เลย ตอนนี้หนูก็เป็นอาสามูลนิธิร่วมกตัญญูได้ประมาณ 3 ปีแล้วค่ะ
• พอไปสมัครแล้ว เราต้องมีการอบรม การสอบด้วย เห็นว่าคนที่จะเป็นอาสาจะต้องอบรมหลักสูตร EMR ( Emergency Medical Responder) ก่อนใช่ไหมคะ
ใช่ค่ะ ตอนที่ไปสมัครทางมูลนิธิก็ส่งไปอบรมการปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนค่ะ หรือบางคนก็จะได้อบรมของมูลนิธิเลย คือมูลนิธิจะนำแพทย์ พยาบาลเฉพาะทางมาเป็นครูอบรมให้ แต่ของหนูได้เรียนที่โรงพยาบาลเลิดสิน เพราะว่าตอนนั้นทางโรงพยาบาลจัดอบรมพอดี ทางมูลนิธิก็เลยส่งให้ไปเรียนค่ะ
หลักสูตร EMR (Emergency Medical Responder) จะเป็นหลักสูตรสำหรับเจ้าหน้าที่และอาสากู้ชีพ ซึ่งโรงพยาบาลประจำจังหวัดหรือโรงพยาบาลศูนย์ จะเปิดอบรมทุก ๆ ปี ค่ะ
สิ่งที่ได้เรียน จะเกี่ยวกับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นทุกอย่างเลยค่ะ เช่น การทำ CPR, การปิดแผล, การดามกระดูก, การบล็อกคอ, การช่วยหายใจในกรณีที่ไม่มีอุปกรณ์ เป็นต้น จะต้องเรียนทั้งหมด 40 ชั่วโมง แบ่งเป็น 5 วันค่ะ เรียนเสร็จในการอบรมก็จะมีการสอบภาคข้อเขียน ภาคปฏิบัติ ถ้าสอบไม่ผ่านจะไม่จบหลักสูตร ก็ต้องเรียนใหม่ บางสถานที่อบรมจะให้เรากลับบ้านมาอ่านหนังสือ และไปสอบซ่อมได้ค่ะ อย่างของหนู หนูสอบภาคปฏิบัติรอบเดียวผ่าน แต่ภาคทฤษฎีต้องสอบประมาณ 3 รอบ คือเราต้องกลับมานั่งทบทวนเยอะมากแล้วก็ไปสอบใหม่
การอบรมจะเหมือนเราจบปริญญาเลยค่ะ เขาจะมีใบประกาศให้ ถ้าสมมติว่าคุณอบรมไม่ผ่าน คุณก็จะไม่ได้ใบประกาศ ซึ่งทางมูลนิธิสนับสนุนให้อาสาทุกคนเรียน อาสาทุกคนก็ต้องไขว่คว้าที่จะเรียน เอาใบประกาศตรงนั้นมาให้ได้
• ประสบการณ์แรกที่อบรมและได้ใบประกาศผ่านเข้ามาเป็นอาสามูลนิธิร่วมกตัญญูเป็นอย่างไร
ตอนมาทำจริงๆ เคสที่เจอบ่อยที่สุดจะเป็นเคสอุบัติเหตุทางรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์ค่ะ จะเจอบ่อยมากอย่างเคสที่หนักที่สุดจะเป็นเคสในซอยจันทน์ 16 ถ้าหนูจำไม่ผิด เป็นมอเตอร์ไซค์ชนกับมอเตอร์ไซค์ ชนแรงเหมือนกัน แล้วมีคุณลุงท่านหนึ่งมีเลือดออกทางปาก ทางจมูก ทางหู ซึ่งเราก็ช่วยเหลือตรงนั้นไปเบื้องต้น ซึ่งเคสนี้เป็นเคสที่หนัก เราจะต้องขอรถสนับสนุน เป็นรถ Advance สนับสนุนของโรงพยาบาลเลิดสิน พอพี่พยาบาลวิชาชีพมา เราก็จะคอยเป็นลูกมือให้เขา เขาสั่งอะไร เราก็ช่วยเขา
หรือมีเคสหนึ่งเป็นเคสของคุณป้าคนหนึ่งที่ทานไส้กรอกเข้าไป แล้วเหมือนกับว่าไส้กรอกไปอุดกั้นทางเดินหายใจ ซึ่งตอนที่หนูไปถึง ญาติเขาบอกว่าหมดสติไปประมาณ 20 นาทีแล้ว ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่า 20 นาทีของเขา เขายังนอนหลับอยู่ หายใจอยู่ หรือว่าหมดสติโดยที่ไม่มีชีพจรแล้ว หนูก็เลยตัดสินใจว่า เปิดทางเดินหายใจ แล้วก็เคลียร์พื้นที่ทำการ CPR เคสนั้นหนู CPR กับน้องชายสองคนจนรถพยาบาล Advance ของโรงพยาบาลเลิดสินมาถึง แล้วไส้กรอกที่คุณป้าทานไปลงไปลึกแล้ว จนพี่พยาบาลต้องใช้เครื่องมือ ซึ่งพี่พยาบาลวิชาชีพสามารถทำได้ อาสาทั่วไปไม่สามารถทำได้ ซึ่งหนูก็ช่วยพี่พยาบาลเปิดทางเดินหายใจ คือเคลียร์ไส้กรอกตรงนั้นออกมาให้ได้มากที่สุด ให้มีทางเดินหายใจมากที่สุด เพื่อที่เขาจะได้รับออกซิเจนเข้าไปมากที่สุด แต่ที่หนูเห็นชัดเจนเลยก็คือการกดนิ้วมือ ว่าเลือดเดินไปถึงปลายนิ้วไหม จากตอนแรกที่ผู้ป่วยสีเล็บเป็นสีม่วงเขียวเลย พอชีพจรเริ่มกลับมากลายเป็นสีผิวธรรมดาขึ้นมาเลย ซึ่งสุดท้ายคุณป้าก็รอดชีวิตค่ะ (ยิ้ม)
• นอกจากช่วยเหลือเบื้องต้นแล้วมีหน้าที่อะไรอีกบ้างคะ
หน้าที่นอกจากจะช่วยเหลือคนเจ็บคนป่วยเบื้องต้น หนูก็จะได้ไปช่วยเหลือ เช่น น้ำท่วม เพลิงไหม้บ้านเรือน ผู้ประสบภัยหนาว ฯลฯ คือพี่อาสามูลนิธิก็จะรวมตัวกัน ดูว่าเขาขาดแคลนอะไร เราก็จะหาไปให้ อย่างทุนทรัพย์ อุปกรณ์ ของใช้ เอาไปช่วยเขา คือเราจะไม่ใช่แค่ช่วยเหลือคนเจ็บ คนป่วยเพียงอย่างเดียว เราจะมีงานด้านบริการต่างๆ ด้วย
• จากประสบการณ์ที่ทำหน้าที่ตรงนี้มากว่า 3 ปี เคยเจออุปสรรคอะไรบ้างไหมคะ
เคยค่ะ มีโดนด่าเหมือนกัน มีเหตุการณ์ตอนรถติดอยู่ ตอนนั้นมีผู้ป่วยอยู่ภายในรถพยาบาล แล้วมีคนขับรถมาจะขอแทรก แล้วประมาณว่าคุณป้าข้างทางเขาขายของอยู่ เขาก็ตะโกนด่าเลยก็มี หรือบางคนก็ตะโกนเข้ามาในรถว่าจะขับเร็วอะไรหนักหนา แต่เราต้องรีบไปให้ถึงที่เกิดเหตุให้เร็วที่สุด ซึ่งด้วยความที่เราเป็นอาสา เราต้องข่มใจ ต้องใจเย็นมากๆ เพราะเราต้องหยุดโฟกัสรอบข้าง และหันมาโฟกัสผู้ป่วยก่อน
อย่างตอนรถติด จะมีบางคนที่เห็นรถพยาบาลขับมา เขาก็จะชอบขับตามรถพยาบาล คืออันนี้หนูไม่แนะนำเลยนะคะ เพราะว่าคุณไม่รู้ว่ารถพยาบาลจะเบรกเมื่อไหร่ คือเวลารถพยาบาลเบรกมันกระตุกจริงๆ เพราะรถต้องใช้ความเร็ว เราไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนค่ะ เพราะหนึ่งเลย คนที่อยู่บนรถที่เป็นคนเจ็บยังไงต้องเจ็บซ้ำแน่ๆ สองเลยคือเจ้าหน้าที่ที่เขาอยู่บนรถ คือเขาก็อยากจะช่วยคน แต่ถ้าเขาประสบอุบัติเหตุ แล้วใครจะช่วยเหลือเขา กว่าที่รถอีกคันจะตามมาถึง ผู้ป่วยที่เขาช่วยอยู่อาจจะมีโอกาสเสียชีวิตได้มากขึ้น ซึ่งหนูกลัวตรงนี้มากเลย อย่าทำเลยดีกว่า
หรือบางคนก็หาว่าอาสาไปลักทรัพย์ของผู้ป่วยบ้าง แต่จริงๆ แล้วอาสาที่หนูรู้จักมาคือทุกคนทำด้วยใจ ไม่มีใครอยากได้ทรัพย์สินของผู้ป่วย หรือว่าต้องการค่าเคสจากโรงพยาบาล ทุกคนออกมาด้วยใจจริงๆ ค่ะ
• เหมือนว่าเราทำงานภายใต้ความกดดันเหมือนกันนะคะ
ใช่ค่ะ นอกจากเรื่องนี้แล้ว เดี๋ยวนี้กฎหมายทั่วไปจะมีกฎหมายรับรองเหมือนกันว่าถ้าคุณทำเกินความสามารถ เกินความรู้ของคุณ คุณก็จะโดนฟ้อง ยกตัวอย่างเช่น เป็นเคสหนักเลย ต้องพาไปโรงพยาบาล แต่เราจะแยกกันระหว่างรถอาสาที่ส่วนใหญ่จะเป็นรถเบสิก กับรถ advance ที่จะเป็นรถตามโรงพยาบาลที่มีพยาบาลวิชาชีพ มีคุณหมอ ซึ่งบางทีเราก็โดนด่าว่ารถพยาบาลก็มาแล้ว ทำไมไม่เอาขึ้น คืออุปกรณ์รถเราอาจจะมีไม่พร้อม อย่างเครื่องกระตุกหัวใจ บนรถไม่มีแน่ๆ แล้วญาติก็จะให้เอาขึ้นไปเลย อย่างนี้ถ้าผู้ป่วยเกิดอาการหนัก หรือว่าเสียชีวิตบนรถอาสา ญาติจะสามารถฟ้องเราได้ คือเราทำงานภายใต้กฎหมายด้วย แล้วก็ความปลอดภัยของเรา ความปลอดภัยของคนที่เราไปช่วยด้วย มันก็จะครอบคลุมหลายๆ ด้านเลยค่ะ
อย่างที่หนูเรียนมาเขาจะมีบอกเลยนะว่าแต่ละหลักสูตร EMR, EMT, AEMT และ Paramedic สามารถทำอะไรได้บ้าง ซึ่งเราต้องอยู่ภายใต้ขีดจำกัดของการเรียนรู้ที่เราเรียนมา ไม่สามารถทำข้ามขั้นตอนได้ คือหลายๆ อย่างเราทำงานภายใต้ข้อจำกัดว่าเราทำได้แค่ไหนค่ะ อย่าง EMR (Emergency Medical Responder) ก็จะเป็นหลักสูตรสำหรับเจ้าหน้าที่และอาสากู้ชีพที่หนูเป็นตอนนี้ EMT (Emergency Medical Technician) จะเป็นหลักสูตรสำหรับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลและอาสากู้ชีพที่ต้องผ่านการอบรม EMR มาก่อน AEMT (Advanced Emergency Medical Technician) ก็จะเป็นในส่วนของผู้ที่จบการศึกษามัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า เข้าเรียนในหลักสูตร 2 ปี เมื่อจบการศึกษาจะได้รับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง สาขาวิชาปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ (ปวส.ฉพ.) แล้วก็ Paramedic เป็นหลักสูตรที่ต่างชาติยอมรับ อันนี้จะเป็นนักกู้ชีพทางการแพทย์ค่ะ
• แล้วถ้ามีคนถามว่าเราได้อะไรบ้างจากการเป็นอาสาตรงนี้ จะตอบเขาว่าอย่างไร
สิ่งแรกที่หนูได้เลย คือหนูได้รอยยิ้ม อย่างเวลาเราไปส่งเคส เราได้เห็นญาติเขายิ้ม เราก็ถือว่าได้ช่วยเขาแล้ว บางเคสหลังจากนั้นประมาณ 2 - 3 เดือนหนูได้ไปเจอเขา เขาจำเราไม่ได้หรอก แต่ที่เรารู้สึกดีใจ ภูมิใจก็เพราะว่าเขายังมีชีวิตได้อยู่กับครอบครัว ได้อยู่กับคนที่เขารักต่อไป มันเป็นความสุขทางใจจริงๆ ค่ะ
ส่วนตัวหนูก็เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มา คือคุณแม่หนูเป็นโรคหัวใจ เคยช็อกแล้วก็หมดสติไป แล้วเราก็มีพี่กู้ชีพมาช่วย แต่คือ ณ ตอนนั้นเราก็ไม่เห็นหรอกค่ะว่าเขาช่วยเหลืออะไรยังไงบ้าง แต่เราคิดว่าในเมื่อเขายังช่วยแม่เราได้ เราก็ช่วยคนอื่นได้เหมือนกัน สิ่งนี้เลยทำให้หนูอยากส่งต่อตรงนี้ให้กับคนอื่นๆ เหมือนกัน
อีกสิ่งที่ได้กับตัวเองก็คือแต่ก่อนหนูเป็นคนใจร้อน แต่พอเราได้เห็น เราได้รู้ อย่างมีพี่อาสาบางคนที่เขาใจร้อน เราก็จะค่อยๆ บอกพี่เขาว่าถ้าเราใจร้อนมันก็จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้นะ ถ้าเราประมาทเราก็จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้นะ เอาสิ่งที่เคยเจอมา มาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นประสบการณ์ของเราไปด้วย
• ปัจจุบันเรียนอยู่ที่ไหน อนาคตใฝ่ฝันอยากจะทำอะไรคะ
หนูเรียนคณะวิทยาการจัดการ (คณะวิทยาการจัดการ) สาขาวิชาบริหารธุรกิจระหว่างประเทศค่ะ คือหนูใฝ่ฝันอยากเปิดธุรกิจส่วนตัวค่ะ ส่วนทางด้านงานอาสาหนูมีความคิดว่าวันหนึ่งถ้าหนูเปิดธุรกิจส่วนตัวแล้ว เราน่าจะมีเวลาเยอะ เราก็จะสามารถช่วยคนได้เยอะด้วย
ส่วนอนาคตจริงๆ หนูอยากเรียนทางด้านอาสาให้สูงที่สุดเท่าที่เราจะเรียนได้ จริงๆ นอกจากหลักสูตร EMR (Emergency Medical Responder) ก็จะข้ามไปเป็น EMT (Emergency Medical Technician) เป็นหลักสูตรสำหรับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลและอาสากู้ชีพที่ต้องผ่านการอบรม EMR มาก่อน ซึ่งหนูก็สามารถเรียนต่อได้ โดยจะใช้เวลาอบรม 115 ชั่วโมง ตอนนี้หนูวางแผนว่าอยากเรียนมหาวิทยาลัยให้จบก่อน แล้วค่อยไปเรียนในหลักสูตร EMT (Emergency Medical Technician) ต่อค่ะ
• คาดหวังอะไรกับหน้าที่อาสามูลนิธิร่วมกตัญญูตรงนี้อีกไหมคะ
ปัจจุบันมีอาสาออกมาเพื่อช่วยเหลือคนเยอะมาก ซึ่งพี่ๆ อาสาทุกคนเต็มใจเปิดรับน้องๆ รุ่นใหม่ที่จะเข้ามาทำอยู่แล้ว ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากทำ คุณต้องใจกล้า มีความตั้งใจจริงๆ เพราะหน้าที่ตรงนี้เป็นงานที่ละเอียดอ่อน ต้องแข่งขันกับเวลา ถ้าเราช้าแม้แต่วินาทีเดียวหมายความว่าผู้ป่วยอาจจะอาการหนักกว่าเดิม หรือไม่ก็อาจจะเสียชีวิตได้
ส่วนตัวหนูหวังไว้ว่าถ้าสมมติวันหนึ่งหนูมีเงิน หนูอยากช่วยเหลือในส่วนนี้ให้ได้มากที่สุด เพราะเท่าที่เห็นมากู้ภัยตามต่างจังหวัด เขามีรถ มีอุปกรณ์บางอย่างที่เขาสามารถออกไปช่วยเหลือคนได้ แต่อุปกรณ์บางอย่างเขาก็ไม่พร้อม ก็มีคนทักมาเหมือนกันว่าอยากให้รางวัลหนูเป็นนั่นเป็นนี่ ซึ่งหนูก็จะตอบกลับไปเลยว่าขอเป็นอุปกรณ์พยาบาลได้ไหม ไม่ต้องเอามาให้ที่จุดหนูก็ได้ แต่ช่วยเอาไปแจกจ่ายตามจังหวัดต่างๆ ที่เขาขาดแคลนอยู่ได้ไหม เพราะว่าให้รางวัลหนูเป็นเงินมา หนูก็ใช้ได้คนเดียว ถ้าเอาเงินตรงนั้นไปซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ จะสามารถช่วยเหลือคนได้อีกเยอะมากเลย ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่หนูต้องการค่ะ
ขอขอบคุณ
ข้อมูล : สำนักข่าว MGR Online