วิธีการคิดบวก +++
การคิดบวก หมายถึง การคิดแต่สิ่งดีๆ มีประโยชน์ทั้งแก่ตัวเราและผู้อื่น ไม่คิดเอาเปรียบผู้อื่น ไม่คิดอยากได้ ไม่คิดร้าย ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่กังวลลังเล ไม่หลงผิด คิดด้วยเหตุผล โดยยึดหลัก ... http://winne.ws/n22350
ก่อนอื่น เรามาดูประโยชน์ของการคิดบวกกันก่อนนะคะ ..
ประโยชน์ของการคิดบวก
+ เป็นพลังดี ๆ ที่จะนำพาให้ชีวิตของคนเรามีความสุขเพิ่มขึ้น
แค่คิดดีเราก็มีความสุขแล้ว
+ เป็นพลังพื้นฐานที่จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จได้
การคิดบวกทำให้คนเรามีกำลังใจในการกระทำการทุกสิ่งทุกอย่างเพราะเมื่อคิดว่ามันดีอยู่แล้วลงมือทำเลย ดีกว่าการที่มัวแต่กลัวหรือเกรงว่า... ก็ไม่ได้ลงมือทำซะที เป็นต้น คนเราต้องลงมือทำ ความสำเร็จจึงตามมา
+ เป็นพลังทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเราเอง แล้วยังเป็นพลังที่ส่งต่อไปยังคนอื่นๆได้
เป็นพลังที่ทำให้ผู้คนที่อยู่ใกล้มีความรู้สึกดีได้ ผู้คนส่วนใหญ่มักจะชอบอยู่ใกล้คนคิดบวกเพราะคนคิดบวกนี้ทำให้พวกเขามีความสุขขึ้นได้ เป็นพลังเย็นกายเย็นใจ
+ เป็นพลังทำให้ทุกสถานการณ์ดีขึ้นเสมอ
เมื่อเรายังต้องอยู่ในสังคมนี้เราหลีกเลี่ยงการปะทะกับผู้คน กับสภาพแวดล้อม กับปัญหาสารพัดแทบไม่ได้เลย แต่การมีพลังในการคิดบวกอยู่ในตัวนั้นจะช่วยให้เราเผชิญกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้อย่างที่เรียกว่า แม้เจอปัญหาปัญหาก็จะดูเล็กลง แม้เจอคนคิดลบ ความคิดเขาก็ทำอะไรเราไม่ได้
จะสังเกตได้ว่าการคิดบวกมีประโยชน์ครอบคลุมการดำเนินชีวิตของมนุษย์ทุกคน ปัญหาคือเราจะมีหลักคิดหรือวิธีการอย่างไรให้เราเป็นคนคิดบวก...
หลักคิดให้มีพลังแห่งการคิดบวก
ให้คิดแต่สิ่งดี ๆ พูดแต่สิ่งดี ๆ และทำแต่สิ่งดี ๆ ดังพระธรรมคำสอนแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวไว้สั้นๆ ว่า คิดดี พูดดี ทำดี นั่นเอง เมื่อเราคิดดี เราจะพูดดีและจะทำดีโดยอัตโนมัติ ส่วนหลักการหรือวิธีการคิดมีดังต่อไปนี้:
วิธีการคิดบวก
คือยึดตามพระธรรมคำสอนแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กล่าวไว้ว่า “ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง” ให้พิจารณาทุกครั้งในทุกกิจกรรมการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การสอน การทำงาน การอยู่ร่วม การกินการอยู่ ฯลฯ เรามาทำความรู้จักความหมายแบบเจาะลึกคำว่า โลภ โกรธ หลง กันค่ะ
๑. ความหมายของคำว่า "โลภ"
ความโลภ คือ ความกำหนัดยินดี รัก อยากได้ ในคน สัตว์ สิ่งของ หรืออารมณ์ที่น่าใคร่ มีตั้งแต่หยาบจนถึงละเอียดดังนี้
๑.๑ อภิชฌาวิสมโลภะ ความโลภอย่างแรงจนกระทั่งแสดงออกมา เช่น ปล้นจี้ ลักขโมย
๑.๒ อภิชฌา ความเพ่งเล็งทรัพย์ของผู้อื่น จ้องๆ จะเอาของเขาละ แต่ยังสงวนท่าที ไม่แสดงออก
๑.๓ โลภะ ความอยากได้ ความโลภ
๑.๔ กามราคะ ความพอใจในกาม รักเพศตรงข้าม ยังมีความรู้สึกทางเพศ หรือยังยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์
๑.๕ รูปราคะ ความยินดีในอารมณ์ของรูปฌานเป็นเรื่องของผู้ฝึกสมาธิจนได้รูปฌานแล้ว
๑.๖ อรูปราคะ ความติดใจยินดีในอารมณ์ของอรูปฌาน เป็นเรื่องของผู้ฝึก สมาธิจนได้อรูปฌานแล้ว
๒. ความหมายของคำว่า "โกรธ"
ความโกรธ คือความไม่ชอบใจ ความคิดร้ายคิดทำลายผู้ที่ทำให้ตนโกรธ มีตั้งแต่หยาบจนถึงละเอียด ดังนี้
๒.๑ พยาบาท ความผูกอาฆาต จองเวร อยากแก้แค้น ไม่ยอมอภัย บางทีข้ามภพข้ามชาติก็ยังไม่ยอม เช่นพระเทวทัตผูกพยาบาทพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่ภพในอดีตมา
๒.๒ โทสะ ความคิดร้าย คิดทำลาย เช่นคิดจะฆ่า คิดจะเตะ คิดจะด่า คิดจะเผาบ้าน คิดจะทำให้อาย ฯลฯ
๒.๓ โกธะ ความเดือดดาลใจ คือคิดโกรธแต่ยังไม่ถึงกับคิดทำร้ายใคร
๒.๔ ปฏิฆะ ความขัดใจ เป็นความไม่พอใจลึกๆยังไม่ถึงกับโกรธ แต่มันขัดใจ
๓. ความหมายของคำว่า "หลง"
ความหลง คืออาการที่จิตมืดมนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่รู้จักบุญบาป ส่วนความไม่รู้วิทยาการต่างๆ ไม่ใช่โมหะหรือความหลงคนที่มีความรู้ วิทยาการมากเพียงใด มีปริญญากี่ใบก็ตาม หากยังไม่รู้จักบุญบาปไม่รู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำละก็ ได้ชื่อว่าตกอยู่ในโมหะทั้งนั้น กิเลสตระกูลโมหะมีตั้งแต่หยาบถึงละเอียดดังนี้
๓.๑ มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรมเช่น เห็นว่าพ่อแม่ไม่มีพระคุณ เห็นว่าบุญบาปไม่มี เห็นว่าโลกนี้โลกหน้าไม่มี เป็นต้น
๓.๒ โมหะ ความหลงผิด ความไม่รู้ผิดชอบชั่วดี
๓.๓ สักกายทิฏฐิความเห็นว่าเป็นตัวตน เช่น คิดว่าร่างกายนี้เป็นของเราจริงๆ
๓.๔ วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในการปฏิบัติธรรม เช่น ยังไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่าบุญบาปมีจริงไหม ทำสมาธิแล้วจะหมดกิเลสจริงหรือ
๓.๕ สีลัพพตปรามาสความติดอยู่ในศีลพรตอันงมงาย เช่น เชื่อหมอดู เชื่อศาลพระภูมิ
๓.๖ มานะ ความถือตัว ถือเขาถือเรา
๓.๗ อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน เป็นอาการที่จิตไหวกระเพื่อมน้อยๆยังไม่หยุด นิ่งสนิทบริบูรณ์ไม่ได้หมายถึงความฟ้งซ่านไม่รู้เหนือรู้ใต้อย่างที่คนทั่วไปเป็น
๓.๘ อวิชชา ความไม่รู้พระสัทธรรมเช่น ไม่รู้ว่าตัวเรามาจากไหน เกิดมาทำไม ตายแล้วจะไปไหน
คนคิดบวก...
เมื่อเราได้ทราบความหมายของคำว่า โลภ โกรธ หลง แล้ว ก็สามารถนำมาเป็นหลักการในการพิจารณาและตัดสินใจ อะไรที่เข้าข่าย "โลภ โกรธ หลง" เราก็ไม่ทำ เป็นต้น
โดยส่วนตัว เคยสังเกตตัวเองหลายครั้งหลายเรื่อง ตัวอย่างเช่น ต้องการหาที่จอดรถ ถ้าจิตนิ่ง จิตดีและคิดแค่ว่ายังไงก็ได้ ชั้นนี้เต็มไปชั้นอื่นก็ได้ แต่ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นเสมอ หรือ การอยากได้ของบางอย่าง ถ้าเราทำจิตปกตินิ่ง ๆ สบาย ๆ เรารู้อยู่ว่าเราต้องการอะไร แต่ก็คิดว่าไม่มีก็ไม่เป็นไร ได้ก็ดี ไม่ได้ก็รอได้ แต่ผลมักจะมีปาฏิหาริย์เสมอ ที่ว่ายังไงก็ได้ก็มักจะได้ แต่ถ้าเราคาดหวังอยากได้ก็เข้าข่ายความโลภ เราจะไม่ค่อยได้และอาจจะต้องเสียด้วยซ้ำไป
มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ เพราะไม่รู้จึงทำผิดทำพลาดไปบ้าง บางเรื่องก็สายเกินกว่าจะแก้ไข ก็ให้คิดดีไว้ว่า เราได้บทเรียนอันแสนคุ้มเพราะเรารู้แล้ว เพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจ ไม่ให้ผิดพลาดอีก ต่อจากนี้ไปเราจะไม่ผิดพลาดอีกเพราะเรามีหลักยึดคือหลักวิธีคิดซึ่งทำให้เราไม่พลาดแน่นอน
ขอให้มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้มีแต่คนคิดบวกเพื่อเพิ่มพลังบวกให้แก่กันและกันนะคะ
ขอขอบคุณ : na_story
อ้างอิง : ประโยชน์คิดบวก,วิธีคิดบวก