พระสารีบุตร พระอัครสาวกเบื้องขวา ผู้เลิศด้วยปัญญา!!ตอน : วิชาครูของพระสารีบุตร ตอนที่๔
แม้ว่าพระสารีบุตรเป็นผู้ดำรงตำแหน่งพระอัครสาวกเบื้องขวาผู้เลิศด้วยปัญญามากแล้ว แต่ท่านก็ยังขวนขวายในกิจที่เพิ่มพูนปัญญาอยู่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะเวลาที่ท่านพบปัญหาจากการเผยแผ่บ้าง การฝึกอบรมคนบ้าง การบริหารปกครองบ้าง http://winne.ws/n22032
๒.๓ รักการแสวงหาความรู้
แม้ว่าพระสารีบุตรเป็นผู้ดำรงตำแหน่งพระอัครสาวกเบื้องขวาผู้เลิศด้วยปัญญามากแล้ว แต่ท่านก็ยังขวนขวายในกิจที่เพิ่มพูนปัญญาอยู่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะเวลาที่ท่านพบปัญหาจากการเผยแผ่บ้าง การฝึกอบรมคนบ้าง การบริหารปกครองบ้าง ท่านจะนำปัญหานั้น ๆ กลับมากราบทูลถามพระบรมศาสดาอยู่เสมอ
ครั้งหนึ่ง พระสารีบุตรแนะนำอสุภกรรมฐานแก่พระหนุ่มบวชใหม่ ผู้เป็นบุตรชายของช่างทองซึ่งเป็นตระกูลอุปัฏฐากของท่าน เพราะเห็นว่าการพิจารณาความไม่งามของร่างกายและซากศพเหมาะแก่คนหนุ่ม อันจะทำให้จิตไม่ฟุ้งซ่านในราคะ แต่แม้ภิกษุหนุ่มรูปนั้นจะพยายามใส่ใจในอสุภกรรมฐานอย่างเคร่งครัด จนเวลาผ่านไป ๔ เดือน ก็ยังไม่สามารถบรรลุคุณวิเศษใด ๆ ได้ ซึ่งผิดแผกไปจากภิกษุหนุ่มรูปอื่น ๆ ที่เคยสอนมา
เมื่อท่านพบกับปัญหาการฝึกอบรมคนเช่นนี้แล้ว ก็รู้ด้วยปัญญาว่า ภิกษุหนุ่มรูปนี้คงจะเป็นพุทธเวไนยอย่างแน่นอน มีแต่พระบรมศาสดาเท่านั้นที่จะให้กรรมฐานตรงจริตของเขาได้ ท่านจึงพาภิกษุหนุ่มรูปนี้ไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา และกราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ
พระบรมศาสดาตรัสตอบว่า “สารีบุตรการรู้กรรมฐานที่สบายแก่ภิกษุรูปนี้ ไม่ใช่วิสัยของเธอ ภิกษุนี้มีแต่ผู้ที่เป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะพึงแนะนำได้”
พระองค์ทรงทราบว่า ในอดีตชาติ ภิกษุหนุ่มรูปนี้เคยเกิดเป็นบุตรของนายช่างทองมา ๕๐๐ ชาติ การให้นิมิตสีแดงด้วยโลหิตกรรมฐาน (กสิณสีแดง) จึงจะเหมาะแก่อัธยาศัยของภิกษุรูปนี้ พระองค์จึงทรงใช้ฤทธิ์เนรมิตดอกบัวสีประภัสสร (สีเลื่อมพรายเหมือนแก้วผลึก) ประทานให้ภิกษุรูปนั้นนำไปปักไว้บนเนินทรายที่อยู่ใต้ร่มเงาไม้หลังวิหาร ให้นั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหาดอกบัวนั้น ให้ระลึกภาวนาในใจว่า “โลหิตัง” (แดง ๆ ๆ)
อสุภกรรมฐาน
ภิกษุรูปนั้นทำตามคำแนะนำของพระบรมศาสดาเพียงครู่เดียว ก็บรรลุฌาน ๔ จากนั้นพระองค์ทรงอธิษฐานให้ดอกบัวเหี่ยว ภิกษุรูปนั้นออกจากฌานแล้วมองเห็นดอกบัวเป็นสีดำ ท่านจึงตระหนักถึงความจริงว่า ร่างกายของเราไม่เที่ยง ถูกความชราย่ำยีตลอดเวลาการเวียนว่ายตายเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง จึงเกิดความรู้สึกเหมือนถูกไฟเผาร่างขึ้นมาทันที
ไม่ไกลจากที่ท่านนั่งสมาธินั้น มีเด็ก ๆกลุ่มหนึ่งกำลังหักดอกบัวในน้ำนำมากองไว้บนบก สักครู่หนึ่งดอกบัวที่กองไว้บนบกก็เริ่มเหี่ยวแห้งไป ท่านเห็นเหตุการณ์เหล่านั้นแล้วยิ่งเห็นความจริงว่า สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา ร่างกายของท่านจึงยิ่งรู้สึกเหมือนถูกไฟโหมแผดเผายิ่งขึ้นอีก
พระบรมศาสดาทรงทราบถึงวาระจิตที่เหมาะแก่การบรรลุธรรมของภิกษุรูปนั้นแล้วจึงทรงแผ่พระฉัพพรรณรังสีออกมาจากที่ประทับในพระคันธกุฎี เพื่อชี้หนทางดับทุกข์ให้แก่ภิกษุรูปนั้น แล้วตรัสแสดงธรรมว่า “ภิกษุใดตัดราคะได้ขาด พร้อมทั้งอนุสัยไม่มีส่วนเหลือ เหมือนบุคคลลงไปตัดดอกปทุมซึ่งงอกขึ้นในสระฉะนั้นภิกษุนั้นชื่อว่าย่อมละฝั่งในและฝั่งนอกเสียได้เหมือนงูละคราบเก่าที่คร่ำคร่าแล้วฉะนั้น”9 เมื่อจบพระธรรมเทศนา ภิกษุรูปนั้นบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
จากตัวอย่างที่ยกมาแสดงนี้ ในพระไตรปิฎกมีคำอธิบายว่า สาเหตุที่พระสารีบุตรไม่สามารถเลือกกรรมฐานที่ตรงแก่จริตของภิกษุรูปนี้ได้ก็เพราะท่านไม่มีอาสยานุสยญาณ คือ ปัญญารู้อัธยาศัยและอนุสัยของสัตว์ ซึ่งเป็นญาณทัสนะที่มีเฉพาะในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
เพราะเหตุนี้ ท่านจึงหมั่นแสวงหาปัญญาด้วยการกราบทูลถามจากพระบรมศาสดาอยู่เสมอ ทำให้ภิกษุสาวกรูปอื่น ๆ พลอยได้เปิดหูเปิดตาจากการถามของท่านไปด้วย ขณะเดียวกันก็ได้เพิ่มพูนปัญญาจากการรับฟังคำตอบของพระบรมศาสดาไปด้วยเช่นกัน
ดอกบัวเหี่ยว
๒.๔ อ่อนน้อมถ่อมตนอยู่เสมอ
ตามปกติของคนโดยทั่วไปมักชอบสอนชอบตักเตือนผู้อื่นมากกว่า แต่เมื่อถูกผู้อื่นกล่าวสอนบ้าง ก็จะโกรธเคือง เพราะรู้สึกเสียหน้าและมักตอบโต้กลับคืนด้วยการหาเรื่องจับผิดแล้วว่ากล่าวติเตียนให้เสียหาย ผลสุดท้ายก็ต้องกลายเป็นนกไร้ขน คนไร้เพื่อน เพราะไม่มีเพื่อนดี ๆ คนไหนกล้าตักเตือน
แต่พระสารีบุตรมิได้เป็นเช่นนั้น ท่านมีความอ่อนน้อมถ่อมตนเสมอ น้อมรับคำตักเตือนได้แม้กระทั่งคำเตือนของสามเณร ๗ ขวบ1 ใน อรรถกถาสุสิมสูตร มีบันทึกว่า วันหนึ่งสามเณรอายุ ๗ ขวบ เห็นพระสารีบุตรนุ่งห่มไม่เรียบร้อยจึงกราบเรียนว่า “ท่านสารีบุตรขอรับ ชายผ้านุ่งของท่านห้อยลงมาแน่ะ”
พระสารีบุตรได้รับคำเตือนนั้นแล้วไม่พูดอะไรเลย รีบไปในที่ที่เหมาะสมแห่งหนึ่ง แล้วนุ่งห่มใหม่ให้เรียบร้อย จากนั้นก็กลับมายืนประนมมือต่อหน้าสามเณร กล่าวถามว่า “เท่านี้เหมาะไหม อาจารย์”
พระสารีบุตรท่านให้เหตุผลว่า “ผู้บวชในวันนั้น เป็นคนดี อายุ ๗ ขวบโดยกำเนิดถึงผู้นั้นพึงสั่งสอนเรา เราก็ยอมรับด้วยกระหม่อม” ซึ่งเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าท่าปฏิบัติตนอย่างไรก็นำมาสอนผู้อื่นอย่างนั้น เหมือนดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า “บุคคลพึงเห็นผู้มีปัญญามักชี้โทษ มักพูดปรามไว้ เหมือนผู้ชี้บอกขุมทรัพย์ พึงคบผู้ที่เป็นบัณฑิตเช่นนั้น เพราะเมื่อคบคนเช่นนั้น ย่อมมีแต่ความเจริญ ไม่มีความเสื่อมเลย”2
จากข้อคิดที่พระสารีบุตรกล่าวไว้นี้ เป็นข้อเตือนใจว่า คนอ่อนน้อมถ่อมตนไปอยู่ที่ใดก็มีแต่คนให้ความรัก ความเคารพ ความเกรงใจเพราะมีจิตใจเปิดกว้างพร้อมจะรับคำแนะนำจากคนดีอยู่เสมอ ทำให้มองเห็นคุณธรรมกันได้ง่าย คนดีที่มาอยู่ด้วยก็ไม่อยากจากไปไหนเพราะอยู่ด้วยแล้วย่อมไม่ขุ่นข้องหมองใจ มีแต่ความสบายใจ รู้สึกเหมือนได้อยู่ร่วมกับมิตรไม่รู้สึกเหมือนอยู่ร่วมกับศัตรู คนดีที่อยู่ไกลแสนไกลก็อยากมาพบ มาทำความรู้จัก มาคบหาเป็นมิตรสหาย เพราะได้รับรู้กิตติศัพท์อันดีงามว่าเป็นผู้ที่เปิดรับความดีงาม ไม่มีกำแพงขวางกั้นมิตรภาพ ส่วนมิตรสหายเดิมที่คบหากันไว้ มีเท่าไรก็ไม่ลืมเลือนคุณธรรมที่เคยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมา
เมื่อถึงคราวที่ต้องเดินทางไปที่ใด ย่อมมีคนดีอำนวยความสะดวก ให้การต้อนรับเชื้อเชิญอย่างดียิ่งไปตลอดทาง เพราะรู้ว่าหากใครได้คบหาไว้เป็นมิตรสหายแล้ว ก็จะมีแต่ความดีงามเพิ่มขึ้นในชีวิต
คนอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ว่าไปอยู่ที่แห่งหนตำบลใด ก็มีมิตรรัก สหายรัก เพื่อนรัก ทั้งที่เป็นเด็กและผู้ใหญ่ บังเกิดขึ้นไปตลอดทาง กลายเป็นเครือข่ายคนดีที่เข้มแข็ง ช่วยกันหมุนกงล้อธรรมจักรให้แผ่ขยายออกไปด้วยกำลังของมิตรภาพที่กระจายอยู่เต็มแผ่นดิน
Cr. หลวงพ่อทัตตะชีโว วัดพระธรรมกาย
ขอบคุณที่มา