พระมหาโมคคัลลานะ "มีฤทธิ์มากขนาดไหน" ยังพ่ายแพ้ "แรงกรรม" ที่เคยฆ่าพ่อและแม่ในอดีตชาติ
พระมหาโมคคัลลานะ แม้มีฤทธิ์มากขนาดไหน แต่ก็ต้องพ่ายแพ้แรงกรรม ที่เคยฆ่าพ่อและแม่ในอดีตชาติ กรรมหนักที่เคยทำไว้ ไม่สูญหายไปไหน จ้องส่งผลตลอดเวลา กฎแห่งกรรม ไม่เคยละเว้นใคร แม้แต่พระอรหันตสาวกของพระพุทธเจ้า http://winne.ws/n6665
พระมหาโมคคัลลานเถระ ถูกโจรทุบ เพราะเคยทำร้ายบิดามารดา
เรื่องพระมหาโมคคัลลานเถระ ถูกโจรทุบ เพราะเคยทำร้ายบิดามารดาในอดีตชาติคนที่เป็นพระอรหันต์แล้ว อาจจะมีเศษของกรรมเหลืออยู่ และจะส่งผลให้ต้องเสวยผลของเศษกรรมนั้น อย่างเช่นในกรณีของพระมหาโมคคัลลานะ พระอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธองค์ แม้ท่านจะมีฤทธิ์มากขนาดไหน แต่ก็ยังต้องพ่ายแพ้แรงกรรมอยู่ดีกฎแห่งกรรม
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อพระศาสดา ประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภพระมหาโมคคัลลานเถระ ตรัสพระธรรมเทศนาที่ขึ้นต้นด้วยบาทพระคาถานี้ว่า โย ทัณเฑน อทัณเฑสุ เป็นต้นในอรรถกถาพระธรรมบทเล่าว่า
ในสมัยหนึ่ง พวกนิครนถ์ประชุมกันวางแผนสังหารพระมหาโมคคัลลานเถระ เพราะคิดว่าเมื่อกำจัดพระเถระรูปนี้เสียแล้ว ก็จะทำให้ลาภสักการของพระศาสดาสิ้นสุดลง ด้วยว่าพระเถระท่องไปในเทวโลก สอบถามกรรมที่พวกเทวดกระทำแล้วก็กลับมาบอกกับพวกมนุษย์ว่า ทวยเทพทำกรรมอย่างนี้ ๆแล้วก็ได้ไปเกิ ดในสวรรค์ และพระเถระก็ยังได้ไปท่องในนรก และได้ถามพวกสัตว์นรกถึงกรรมที่พวกตนทำไว้แล้วกลับมาบอกพวกมนุษย์ว่า สัตว์นรกทำกรรมอย่างนี้ๆไว้จึงได้ไปเกิดและเสวยทุกข์ในนรกอย่างนี้ ๆ พวกมนุษย์ได้ฟังถ้อยคำของพระเถระนั้นแล้ว ก็ได้นำลาภและสักการะเป็นอันมากมาถวายพระเถระ
ถ้าพวกเราสังหารพระเถระนั้นได้ ลาภและสักการะนั้นก็จะเกิดแก่พวกเรา
ดังนั้นพวกนิครนถ์จึงได้ไปว่าจ้างพวกโจรไปสังหารพระเถระซึ่งในขณะนั้นพำนักอยู่ที่กาฬสิลา ใกล้กรุงราชคฤห์
แต่ด้วยเหตุที่พระเถระมีฤทธิ์มาก เมื่อถูกพวกโจรเข้าล้อมวัด ในวันแรกพระเถระได้ใช้กำลังแห่งฤทธิ์หลบหนีออกมาผ่านทางช่องลูกกุญแจ ในวันที่สองได้หลบหนีออกมาทางหลังคากุฏิ พระเถระสามารถหลบหนีพวกโจรได้ในช่วงสองเดือนแรก พอถึงเดือนที่สามพระเถระระลึกได้ว่า ท่านเคยประกอบกรรมทำชั่วมาในชาติหนึ่ง ท่านจึงไม่ยอมใช้ฤทธิ์ทำการหลบหนีอีกต่อไป ท่านจึงถูกโจรจับและถูกทุบตีจนกระทั่งกระดูกแตกละเอียด หลังจากนั้นพวกโจรได้นำร่างของท่านไปทิ้งไว้ที่พุ่มไม้เพราะเข้าใจว่าท่านเสียชีวิตแล้ว
แต่ท่านยังไม่เสียชีวิต และคิดว่า จะไปเฝ้าพระศาสดาเสียก่อนแล้วจักปรินิพพาน จึงได้ใช้กำลังแห่งฌานประสานกระดูกให้กลับแข็งแรง แล้วไปเหาะสู่สำนักของพระศาสดา ถวายบังคมแล้วกราบทูลอำลา พระศาสดาได้ตรัสบอกให้เถระแสดงธรรมให้พระองค์สดับเสียก่อน พระเถระก็ได้กระทำตามพุทธฎีกา จากนั้นได้ถวายบังคมลา เหาะไปที่ดงกาฬสิลา และได้ปรินิพพาน ณ ที่นั้น
เมื่อข่าวการเสียชีวิตของพระเถระได้กระจายไปทั่วชมพูทวีป พระเจ้าอชาตศัตรูก็ได้ใช้สายสืบออกไปสืบข่าวเพื่อตามจับกุมคนร้าย และในที่สุดโจรเหล่านั้นก็ถูกจับกุมและถูกประหารชีวิตด้วยการถูกเผาด้วยไฟ
ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า น่าสังเวชจัง พระมหาโมคคัลลานะ มรณภาพแบบนี้ไม่สมควร
พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย โมคคัลลานะมรณภาพ ไม่สมควรในชาตินี้ก็จริง แต่เธอถึงมรณภาพ สมควรแก่กรรมที่เธอกระทำไว้ในกาลก่อน” เมื่อภิกษุทั้งหลายทูลถามถึงบุรพกรรมในอดีตของพระเถระ พระพุทธองค์ได้ตรัสเล่าว่า
ในชาติหนึ่งพระเถระเคยเกิดเป็นชายหนุ่มและได้สังหารบิดามารดาที่ตาบอด ในตอนแรกนั้น ชายหนุ่มผู้นี้ก็เลี้ยงดูบิดามารดาที่ตาบอดเป็นอย่างดี แต่หลังจากแต่งงานแล้วถูกภรรยายุแหย่แนะนำให้ฆ่าบุพพการีตาบอดทั้งสองคนเสีย
ชายหนุ่มจึงได้พาบิดามารดาขึ้นเกวียนเข้าไปในป่า แล้วทำการทุบตีบิดามารดาจนถึงแก่ความตายโดยโยนบาปว่าเป็นการกระทำของพวกโจร ด้วยผลกรรมนั้น ทำให้ชายหนุ่มไปตกนรกอยู่หลายแสนปี ด้วยเศษของวิบาก จึงถูกทุบตีกระดูกแตกละเอียด เสียชีวิตแบบนี้อยู่ถึง 100 ชาติ และเมื่อมาเกิดเป็นพระมหาโมคคัลลานะ แม้ว่าจะเป็นพระอรหันต์ และเป็นผู้มีฤทธิ์มาก ก็ยังไม่สามารถหลบหนีจากเงื้อมมือของกรรมไปได้
ในตอนท้ายของพุทธดำรัสมีข้อความระบุถึง กฎแห่งกรรม ที่ทุกคนซึ่งมีส่วนร่วมย่อมได้รับกันทั่วหน้าว่า “ภิกษุทั้งหลาย โมคคัลลานะ ทำกรรมประมาณเท่านี้ ไหม้ในนรกหลายแสนปี ด้วยวิบากที่ยังเหลือ จึงถูกทุบตีอย่างนั้นนั่นแล ละเอียดหมด ถึงมรณะ สิ้น 100 อัตภาพ โมคคัลลานะได้มรณะอย่างนี้ ก็พอสมแก่กรรมของตนเองแท้ พวกเดียรถีย์ 500 กับโจร 500 ประทุษร้ายต่อบุตรของเราผู้ไม่ประทุษร้าย ก็ได้มรณะที่เหมาะ(แก่กรรมของเขา) เหมือนกัน ด้วยว่า บุคคลผู้ประทุษร้ายต่อบุคคลผู้ไม่ประทุษร้าย ย่อมถึงความพินาศฉิบหายด้วยเหตุ 10 ประการเป็นแท้”
จากนั้น พระศาสดาจึงตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
โย ทณฺเฑน อทณฺเฑสุอปฺปทุฏฺเฐน ทุสฺสติทสนฺนมญฺญตรํ ฐานํขิปฺปเมว นิคจฺฉติ ฯ
(อ่านว่า) โย ทันเทนะ อะทันเทสุอับปะทุดเถนะ ทุดสะติทะสันนะมันยะตะรัง ถานังขิบปะเมวะ นิคัดฉะติ.
(แปลว่า)ผู้ใด ประทุษร้ายในท่านผู้ไม่ประทุษร้าย ผู้ไม่มีอาชญา ด้วยอาชญา ย่อมถึงฐานะ 10 อย่างอย่างใดอย่างหนึ่งพลันทีเดียว
เวทนํ ผรุสํ ชานึสรีรสฺส ว เภทนํครุกํ วาปิ อาพาธํจิตฺตกฺเขปํ ว ปาปุเณ ฯ
(อ่านว่า) เวทะนัง ผะรุสัง ชานิงสะรีรัดสะ วะ เพทะนังคะรุกัง วาปิ อาพาทังจิดตักเขปัง วะ ปาปุเน.
(แปลว่า)
คือ ถึงเวทนากล้า 1
ความเสื่อมทรัพย์ 1
ความสลายแห่งสรีระ 1
อาพาธหนัก 1
ความฟุ้งซ่านแห่งจิต 1
ราชโต วา อุปสคฺคํอพฺภกขาตํ ว ทารุณํปริกฺขยํ ว ญาตีนํโภคานํ ว ปภงคุณํ.
(อ่านว่า) ราชะโต วา อุปะสักคังอับพักขาตัง วะ ทารุนังปะริกขะยัง วะ ยาตีนังโพคานัง วะ ปะพังคุนัง.
(แปลว่า)
ความขัดข้องแด่พระราชา 1
การถูกกล่าวตู่อย่างร้ายแรง 1
ความย่อยยับแห่งเครือญาติ 1
ความเสียหายแห่งโภคะทั้งหลาย 1
อถวาสฺส อครานิอคฺคิ ฑหติ ปาวโกกายสฺส เภทา ทุปฺปญฺโญนิริยํ โส อุปปชฺชติ.
(อ่านว่า)อะถะวาดสะ อะคะรานิอักคิ ทะหะติ ปาวะโกกายัดสะ เพทา ทุบปันโยนิริยัง โส อุปะปัดชะติ.
(แปลว่า)
อีกอย่างหนึ่ง ไฟป่าย่อมไหม้เรือนของเขา
ผู้นั้นมีปัญญาทราม
เพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงนรก.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นมาก บรรลุโสดาปัตติผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
อ้างอิงเนื้อหาจาก https://sites.google.com/site/dhammatharn/km-mu-na-wt-ti-lo-ko/ththth